

ปัจจุบันเทรนด์รถไฟฟ้ากำลังมาแรงในประเทศไทย ทั้งในเรื่องประสิทธิภาพของรถที่ดีขึ้น ขับได้ไกลขึ้น ราคาที่ถูกลง รวมถึงเทรนด์อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่กำลังมาแรงในขณะนี้
โดยรถไฟฟ้าจะแบ่งออกเป็นสี่ประเภทหลัก ๆ คือ HEV, FCEV, PEV และ BEV ซึ่งในปี 2020 ที่ผ่านมาประเทศไทยมีรถไฟฟ้าจดทะเบียนใหม่มากถึง 35,263 คันเลยทีเดียว


แต่เมื่อเทียบกับจำนวนรถยนต์ที่จดทะเบียนใหม่ในปี 2020 พบว่ามีรถจดทะเบียนใหม่มากถึง 2,638,466 คัน ตัวเลขรถไฟฟ้าประมาณ 1% ของรถทั้งหมด
สิ่งที่ทำให้หลาย ๆ คนยังไม่ตัดสินใจซื้อรถไฟฟ้านอกจากเรื่องของราคาแล้วคือเรื่องของ Charging Station ที่ยังหาได้ยากเมื่อเทียบกับปั๊มน้ำมันปกติ และยังเป็นสิ่งใหม่ในสังคมไทย



โดย Charging Station นั้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ Charging Station แบบเป็นสถานีที่มีชื่อเป็นภาษาไทย ว่า “สถานีอัดประจุไฟฟ้า”
และ Home Charging Station ที่เป็นเหมือนกับที่ชาร์จแบตเตอร์รี่รถยนต์ประจำบ้าน

Charging Station แบบสถานีแต่ละที่จะไม่เหมือนกัน โดยจะแบ่งย่อยออกไปอีก 2 ประเภทหลัก ๆ คือ Normal Charger (AC) และ Fast Charger (DC)

Normal Charger (AC) จะทำการชาร์จตัวรถยนต์ ผ่าน Onboard ของตัวรถยนต์ ในขณะที่ Fast Charger (DC) จะชาร์จเข้าสู่แบตเตอร์รี่ของรถยนต์โดยตรงทำให้ชาร์จได้ไวกว่า

สำหรับ Home Charging Station ส่วนใหญ่จะเป็นแบบ Normal Charging Station เพราะส่วนมากจะเป็นการชาร์จทิ้งไวเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากมีกำลังไฟที่น้อยกว่าแบบ Fast Charging


ลองคำนวณกันเล่น ๆ ดูไหมว่าหากคุณชาร์จรถไฟฟ้าของคุณกับ Home Charging Station จะใช้เวลาเท่าไร

กำลังของแท่นชาร์จ (คิดจากอัตราจ่ายไฟฟ้าที่ 7kW)
= ระยะเวลาที่ใช้ชาร์จ (ชม.)


สำหรับใครที่อยู่อาศัย Condo แล้วอยากได้ Charging Station อาจจะต้องปรึกษานิติฯในเรื่องการวางแท่นชาร์จ ควบคู่ไปกับคำแนะนำของผู้ให้บริการ

Charging Station ถือว่าเป็นหนึ่งในสิ่งที่ใครอยากจะลองซื้อรถไฟฟ้าควรทำความเข้าใจสักนิดหนึ่ง แต่จะมีผลดีต่อคุณและต่อโลกของเราในระยะยาว