‘Apple VS Tesla’ รถไร้คนขับของใครจะดีกว่ากัน

Property Specialist

‘Apple VS Tesla’ รถไร้คนขับของใครจะดีกว่ากัน

สรุปบทความ

Apple ไม่น้อยหน้า Tesla เร่งพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้า ไร้คนขับ ภายใต้โครงการ “Project Titan” ซึ่งมีกำหนดการจะแล้วเสร็จภายในปี 2024 แน่นอนว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกจาก Apple ได้ ต้องได้รับการรองรับมาตรา ทั้งดีไซน์ และคุณภาพ ถึงแม้ว่า Apple เป็นแบรนด์ที่หลายคนยอมรับ แต่ในเรื่องของการผลิตรถยนต์นั้น ต้องยอมรับว่าเป็นน้องใหม่ วันนี้เราจะมาดูกันค่ะ

สมัยนี้ไม่ว่าอะไรก็ต้องเป็นดิจิทัล หรืออย่างน้อยมีเทคโนโลยีมาผสมไปหมด จนทำให้ผลิตภัณฑ์ธรรมดาหลายๆ ตัว ได้กลายเป็นอุปกรณ์อัจฉริยะ (อุปกรณ์ AI) มากมายในปัจจุบัน ยกตัวอย่างจากสิ่งรอบตัว เช่น หุ่นยนต์ทำความสะอาดบ้าน, หนังสือ E-Book, Smart Watch, เทคโนโลยีภาพสามมิติเสมือนจริง หรือเวอร์ชวล เรียลลิตี้ และอีกมากมาย เทคโนโลยีเหล่านี้ ล้วนแต่ช่วยให้เราได้ใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้น ซึ่งนั่นก็คือการใช้ทรัพยากรคน และเวลาให้น้อยที่สุด

หนึ่งในเทคโนโลยีที่เป็นที่จับตามอง และมาแรงในปัจจุบัน ก็คงหนีไม่พ้น Electric Vehicle (EV) หรือ รถยนต์ไฟฟ้า นั่นเอง แน่นอนว่าธุรกิจหลายแห่ง ต่างรีบแห่กัน กระโดดเข้าเทรนด์ ทยอยกันออก รถยนต์ไฟฟ้ากันเป็นว่าเล่น และแน่นอนว่า แอปเปิล (Apple Inc) ก็ไม่ต่าง

ขอบคุณรูปจาก Medium.com

ด้วยสโลแกนของบริษัท “Think Different” และความเป็นผู้นำธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ รายยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Apple ไม่คิดจะหยุดแค่สร้างรถยนต์ไฟฟ้าธรรมดาๆ อีกคันให้โลก หรือเพิ่มเติมแค่แปะโลโก้รูปแอปเปิลลงไปที่รถแน่นอน ปี 2014 ที่ผ่านมา Apple ได้ประกาศ แผนการที่จะผลิต “iCar” รถยนต์ไฟฟ้าประเภทขับเคลื่อนอัตโนมัติ ไม่ต้องพึ่งคนขับ ภายใต้โครงการที่ชื่อว่า “Project Titan.”  ซึ่งมีกำหนดจะเสร็จภายในปี 2024 

ไม่ว่าแผนการ การพัฒนา iCar ที่ว่าของ Apple นี้จะเป็นอย่างไร ฟีเจอร์ต่างๆ จะสู้กับเจ้าเก่าไฟยังแรงอย่าง Tesla ได้หรือไม่ วันนี้เรามีคำตอบค่ะ 

แต่ก่อนอื่นเรามารู้จัก Electric Vehicle หรือ รถยนต์ไฟฟ้ากันก่อนนะคะ

รถยนต์ EV คืออะไร

รถยนต์ EV (Electric Vehicle) หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า “รถยนต์ไฟฟ้า” นั้น เป็นรถยนต์ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ โดยการใช้มอเตอร์ไฟฟ้า และใช้พลังงานไฟฟ้าแทนการใช้น้ำมัน รถยนต์ไฟฟ้าตัวนี้จะเก็บพลังงานไฟฟ้าที่ว่าไว้ในแบตเตอรี่ของรถ ที่สามารถชาร์ตได้ตลอดเวลาเมื่อแบตเตอรี่หมด

การทำงานของระบบรถยนต์ไฟฟ้านั้น ประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบหลักๆ นั้นก็คือ แบตเตอรี่ อุปกรณ์แปลงกระแสไฟฟ้า และมอเตอร์ไฟฟ้า

การขับเคลื่อนของรถยนต์ EV นั้น เริ่มจากตัวแบตเตอรี่ ที่เป็นแหล่งสะสมพลังงานไฟฟ้ากระแสตรง จากนั้น จะเป็นหน้าที่ของตัวแปลงกระแสไฟฟ้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ากระแสตรงให้กลายเป็นพลังงานไฟฟ้ากระแสสลับ เพื่อถ่ายพลังงานไปให้มอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้เกิดการเคลื่อนตัวของรถยนต์ขึ้นนั่นเอง 

เพื่อนๆ จะเห็นได้ว่า ขั้นตอนการทำงานของรถยนต์ไฟฟ้านั้น ง่าย ใช้แค่พลังงานไฟฟ้าอย่างเดียว ซึ่งก็เพียงพอที่จะทำให้รถยนต์เคลื่อนที่ได้แล้ว ดังนั้นรถยนต์ไฟฟ้าจึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ช่วยเพื่อนๆ ประหยัดทั้งพลังงาน และค่าใช้จ่าย ได้ดีกว่ารถยนต์พลังงานเชื้อเพลิงทั่วไป

รถยนต์ไฟฟ้าจาก Apple

ขอบคุณรูปจาก Teslarati.com

Apple Inc ได้ประกาศเริ่มโครงการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนอัตโนมัติไปเมื่อปี 2014 ที่ผ่านมา ซึ่งมีกำหนดจะเปิดตัวภายในปี 2024 ที่จะถึงนี้ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ Apple ได้ประกาศแผนการดังกล่าวไป ก็ได้เงียบหาย ซุ่มพัฒนาสร้างรถยนต์ไฟฟ้า โดยไม่ให้ปาก ไม่ให้เสียงแก่สื่อมวลชนแต่อย่างใด เรียกได้ว่าทำเอาแฟนๆ กังวลว่าเราจะได้เห็นสุดยอดรถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับ ฝีมือบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำที่เราไว้วางใจอย่าง Apple ในเร็ววันจริงๆ หรือเปล่า  

เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา Apple ก็ไม่ทำให้แฟนๆ ผิดหวังอีกเช่นเคย Apple ประกาศจ้าง ‘Doug Field’ ซึ่งเขาเป็นอดีตพนักงานของ Apple ที่หันไปทำงานให้กับบริษัท Tesla เป็นเวลานานถึง 5 ปี โดย Apple ได้มอบหมายให้ Doug Field รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินแผนการนี้ต่อไป และหลังจากนั้น โปรเจคต์พัฒนารถยนต์ไฟฟ้าของ Apple ก็มีความคืบหน้าขึ้นมาก 

จุดประสงค์หลักของ Apple คือการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ที่สามารถขับเคลื่อนได้อัตโนมัติ และที่สำคัญรถยนต์คันนี้จะต้องมีกลุ่มเป้าหมายเป็นตลาดมวลชน (Mass Market) หรือกลุ่มลูกค้าจำนวนมาก ซึ่งแตกต่างจากรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตจากบ้านยักษ์ใหญ่ อย่าง Tesla ที่เน้นตอบสนองตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) 

นอกจากนี้ Apple ยังยืนยัน นอนยันอีกว่า รถยนต์ไฟฟ้าตัวนี้จะมีแบตเตอรี่รูปแบบใหม่ที่ทำให้รถวิ่งได้ไกลขึ้น และยังช่วยประหยัดต้นทุน ได้ดีด้วย 

iCar VS Tesla 

ขอบคุณรูปจาก Teslarati.com

ถ้าพูดถึง รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ที่สามารถขับเคลื่อนได้โดยอัตโนมัติ แน่นอนว่าเป็นใคร ใครก็ต้องนึกถึง เทสลา (Tesla) บริษัทเชื้อสายอเมริกัน ผู้ผลิตยานพาหนะไฟฟ้าที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ซึ่ง CEO ของบริษัทเทคโนโลยีล้ำนี้ จะเป็นใครไม่ไม่ได้นอกจาก อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ขวัญใจน้องๆ Gen Z นั่นเองค่ะ

เนื่องจาก Tesla มีชื่อเสียงอย่างมาก ในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 100% นอกจากจะมีสมรรถนะเทียบเท่ากับ SuperCar แล้ว ยังประกอบไปด้วยเทคโนโลยีช่วยขับอย่าง ‘Autopilot’ โดยการใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วย 

เท่านี้ยังไม่พอ การบังคับทุกอย่าง ตั้งแต่เกียร์ ยัน อุณหภูมิในรถ คนขับต้องบังคับผ่านหน้าจอหน้าคนขับเท่านั้น จนทำให้หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การซื้อ รถยนต์เทสล่า เหมือนเป็นการซื้อไอแพดอันขนาดยักษ์ เว้นซะแต่ว่ามันสามารถพาเราไปไหนมาไหนได้นั่นเอง

จึงไม่แปลกใจเลยว่าทันทีที่ Apple ประกาศแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า สื่อหลายฝ่ายต่างเริ่มเปรียบเทียบรถยนต์ไฟฟ้าอัตโนมัติของ Apple และ Tesla กันมากมาย ข้อเปรียบเทียบจะมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง มาดูกันเลย

1. ความสามารถทางดีไซน์

ขอบคุณรูปจาก Medium.com

เรื่องของดีไซน์ต้องยอมรับเลยว่า Apple นั้นชนะขาดลอย เมื่อเทียบกับดีไซน์ของ Tesla ที่มักจะโดนแฟนๆ ตั้งคำถามอยู่เสมอ และที่เห็นได้ชัดที่สุด ก็เห็นจะเป็นผลิตภัณฑ์ล่าสุดของ Tesla “Cybertruck” รถกระบะไฟฟ้า ที่มีดีไซน์เหมือนรถถังล้ำยุค ไม่เหมือนใคร และก็ไม่แน่ใจด้วยว่าจะมีใครอยากเหมือนด้วยหรือเปล่า

ขอบคุณรูปจาก Tesla

ซึ่งนี่ก็แตกต่างจากผลิตภัณฑ์ทั้งหลายจาก Apple อย่างสิ้นเชิง เพราะไม่ว่า Apple จะออกอะไรมา ก็เป็นที่ชื่นชมไปซะหมด แม้ว่าดีไซน์ของ Apple จะเรียบง่าย แต่ก็โดดเด่นท่ามกลางคู่แข่ง 

Apple มุ่งเน้นการออกแบบ แบบ Minor Change นั่นก็คือการออกแบบเพียงแค่ให้ผลิตภัณฑ์นั้นๆ ดูดีมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่การออกแบบ แบบถอนรากถอนโคน ซึ่งนี่เองก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ Apple ถึงมีแบรนด์ Identity ที่ชัดเจน

2. ความพร้อมของเงินทุน

ขอบคุณรูปจาก iotmaniac

แน่นอนว่าเงินทุน เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ เพราะการผลิตรถยนต์สักรุ่นนั้น ไม่เพียงแค่ต้องมีเงินที่มากพอ แต่ยังต้องมีเหลือ ให้ใช้กับการสร้างโรงงาน การพัฒนาการทำการตลาด และอีกมากมาย 

Tesla ในปีที่ผ่านมาได้ มีเงินทุนที่มากขึ้นอย่างน่าทึ่ง ถึงขั้นมีมูลค่าหุ้นมากถึง 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับ Apple แล้ว ต้องยอมรับเลยว่า Apple เขามีเงินหมุนเวียนบริษัทที่มากกว่า Tesla อยู่มาก

3. ประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ

ขอบคุณรูปจาก Themoscowtimes

ถึงแม้ว่าเงินจะเป็นเรื่องที่สำคัญมากในการทำธุรกิจ แต่อย่าลืมนะคะ ว่าฝีมือและความสามารถของคนทำธุรกิจก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน แน่นอนว่าเรื่องของยานยนต์ Apple ยังมีพนักงานที่เชี่ยวชาญไม่เท่า Tesla ดังนั้นถ้า Apple อยากเพิ่มความน่าเชื่อถือในส่วนนี้ Apple จำเป็นต้องจ้าง วิศวกรเครื่องยนต์ อีกมาก เพื่อมาสู้กับ Tesla ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจยานยนต์โดยเฉพาะมานานถึง  17 ปี

ท้ายที่สุด Apple ต้องเข้าใจก่อนว่า นี่คือการผลิตรถยนต์ ไม่ใช่การผลิตมือถือ หรือไอแพดอย่างเคย ความปลอดภัยนั้น การันตีชีวิตคน ไม่ใช่แค่ ความปลอดภัยเพียงแค่ในโลกไซเบอร์

สรุปท้ายบทความ

ปัจจุบันตลาดรถยนต์ได้เร่งก้าวหน้า พัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ โดยเริ่มจากการเปลี่ยนรถยนต์แบบเผาไหม้เชื้อเพลิงทั่วไป ไปเป็นรถยนต์ไฮบริด (เครื่องยนต์ผสมระหว่างไฟฟ้ากับน้ำมัน) จนในท้ายที่สุดกลายมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) อย่างในปัจจุบัน 

ฉลาดทำธุรกิจแบบ Apple แน่นอนว่าไม่มีทางปล่อยโอกาสทำเงินนี้ให้หลุดมือไป ล่าสุด Apple ได้เปิดเผยแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับขึ้น แต่เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด ทำให้ยังเรายังไม่เห็นปลายทางความสำเร็จของ Apple คงต้องรอดูกันต่อไปว่าเราจะได้เห็นรถยนต์ไฟฟ้าของ Apple ตามท้องถนนได้เมื่อไร 

แต่ระหว่างที่เรารอกัน Kaidee แนะนำให้เพื่อนๆ ลองเข้ามาเช็ครถยนต์มือสองในเว็บไซต์ของเราก่อนได้นะคะ แม้ว่าอาจจะไม่ล้ำมากมายเท่า Apple แต่รับรองว่า ช่วยเพื่อนๆ ประหยัดงบ ชนะ Apple แน่นอน

สอบถามข้อมูลอื่นๆ หรือสิทธิพิเศษเพิ่มเติม

กรุณาสแกนคิวอาร์โค้ด หรือเพิ่มเพื่อนด้วยไอดีไลน์ @kaideeofficial