หลายๆคนพอเริ่มมีความคิดอยากซื้อรถมาใช้สักคัน แน่นอนว่าจะต้องเกิดคำถามในหัวอย่าง “ออกตัวท็อปเลยดีไหมนะ?” หรือ “ตัวธรรมดาจะดีหรือเปล่า?” ซึ่งคำตอบที่ได้ก็จะแตกต่างกันไป ด้วยเหตุผลส่วนบุคคลต่างๆ บางคนก็อาจได้คำตอบว่าตัวท็อปเท่านั้นหรือบางคนก็เอาตัวธรรมดาแล้วไปแต่งอีกที แต่ในบทความนี้เราจะมาช่วยคุณวิเคราะห์กันว่ารถตัวท็อปจำเป็นสำหรับคุณไหม?
ทำไมรถหนึ่งรุ่นถึงต้องมีหลายระดับ

ไม่ว่าจะรถประเภทใดเวลาเปิดตัวและเริ่มวางจำหน่าย ในแต่ละรุ่นก็จะมีหลายเกรด ส่วนมากจะเป็นตัวท็อป ตัวกลาง และตัวปกติ ซึ่งแต่ละแบรนด์ก็จะใช้ชื่อเรียกไม่เหมือนกันอย่างฮอนด้าซิตี้ แฮทช์แบ็กก็จะแบ่งเป็น S+ เป็นตัวธรรมดา SV เป็นตัวกลางและ RS เป็นตัวท็อป แต่บางแบรนด์อย่างมาสด้า ก็มีระดับให้เลือกมากถึง 7 ระดับในรุ่น Mazda2 2021
การที่รุ่นหนึ่งจะต้องมีหลายระดับนั้นเหตุผลหลักๆคือเรื่องความต้องการของแต่ละบุคคลที่ต่างกัน บางคนต้องการฟังก์ชันครบเลยไปตัวท็อป บางคนไม่ต้องการฟังก์ชันเยอะ เน้นขับอย่างเดียว ก็สามารถเลือกตัวธรรมดา และถ้าหากแบรนด์รถไม่ทำให้หนึ่งรุ่นมีหลายระดับก็เหมือนการลดกลุ่มตลาดลูกค้าลง ลูกค้าก็จะไปมองหารุ่นที่ถูกใจแบรนด์อื่นต่อไป ดังนั้นยิ่งมีระดับให้เลือกเยอะก็วิน-วินกันทั้งฝ่ายแบรนด์และฝ่ายลูกค้า
ตัวท็อปกับตัวธรรมดาต่างกันเยอะไหมนะ?
มาเทียบความแตกต่างทีละข้อของแต่ละระดับในรถหนึ่งรุ่น ทั้งเรื่องราคา เทคโนโลยี และวัสดุภายใน ซึ่งข้อมูลความแตกต่างตรงนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่ารถตัวท็อปหรือตัวรองที่เหมาะกับคุณ
ราคา
ราคาเป็นความแตกต่างแรกที่เราสามารถเห็นได้จากใบโบรชัวร์ ราคาของแต่ละเกรดจะต่างกันประมาณ 50,000-90,000 บาท ขึ้นอยู่กับประเภทของรถ ยกตัวอย่าง โตโยต้าC-HR ในเกรด Mid จะอยู่ที่ 1,069,000 บาท ส่วนเกรด Hi จะอยู่ที่ 1,159,000 บาท หรือรถยอดนิยมอย่าง Mazda2 2021 ในเกรด S Sports Leather อยู่ที่ 648,000 บาทและเกรด SP Sport อยู่ที่ 690,000 บาท
เทคโนโลยีและนวัตกรรม

แน่นอนว่าในเกรดที่สูงขึ้น เราก็จะได้ความสะดวกด้านนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น อย่างโตโยต้ายาริสแฮทช์แบ็กในเกรด Sport Premium จะได้ระบบ Smart Entry และ Push Start ไฟตัดหมอกหน้า LED กล้องบันทึกภาพหน้ารถและหลังรถ หรือระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน LDA เป็นต้น เหล่านี้จะเป็นสิ่งที่มีเฉพาะในเกรด Sport Premium
ซึ่งเราต้องดูการใช้งานของตัวเราเองว่าเราเหมาะกับเกรดไหน ถ้ายกตัวอย่างต่อว่า หากคุณต้องการซื้อยาริสแฮทช์แบ็ก ระบบความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นอย่างการปัดน้ำฝนอัตโนมัติ รวมถึงความสะดวกที่พวงมาลัยอย่างสวิทช์ควบคุมเครื่องเสียงและโทรศัพท์ ทำให้เราปรับเปลี่ยนเพลงหรือรับสายได้แบบไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ ถ้าคุณชอบในความสะดวกแบบนี้ตัวท็อปของยาริสในเกรด Sport Premium นั้นตอบโจทย์เลย
สีและวัสดุภายใน

หากใครไม่ได้สนใจเรื่องระบบหรือเทคโนโลยีต่างๆแต่เน้นความสวยงามและวัสดุภายใน แต่ละเกรดของรถก็มีความแตกต่างเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่าง Mazda2 2021 แฮทช์แบ็ก ในเกรด S Sport Leather ขึ้นไปจะได้วัสดุหุ้มเบาะเป็นหนังสีเทาและผ้า Grand Luxe Suede สีดำ รวมถึงแผงคอนโซลหน้าที่เป็นหนังสีเทา
ส่วนเรื่องสีภายนอกนั้นหากยกตัวอย่างต่อกับ Mazda2 2021 จะมีบางสีที่ต้องจ่ายเพิ่ม เช่น สี Snowflake White Pearl เพิ่ม 7,000 บาท หรือสี Soul Red Crystal เพิ่ม 12,000 บาท ซึ่งสามารถเลือกสีได้ในทุกเกรด ดังนั้นหากใครเน้นเรื่องสีและวัสดุมากกว่าก็สามารถดูเกรดตัวกลางขึ้นไปจนถึงตัวท็อปเลยก็ได้
ตัดสินใจอย่างไรดีล่ะ?

รู้ความแตกต่างของรถตัวท็อปและตัวธรรมดาแล้ว แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ ลองมาดูสามเหตุผลในตัวของคุณกับการซื้อรถครั้งนี้กัน
1.การใช้งาน
แน่นอนว่าการซื้อรถของแต่ละคนย่อมมีเหตุผลจากการใช้งานเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งการใช้งานของแต่ละคนก็แตกต่างกัน บางคนใช้งานรถทุกวันแต่อาจไม่ได้ขับไปไหนไกล แค่จากบ้านไปออฟฟิศ หรือบางคนไม่ได้ขับทุกวันแต่ขับแต่ละครั้งก็ขับทางไกลบ่อยๆ ข้อนี้จะช่วยให้คุณเลือกได้ทั้งประเภทของรถ รุ่นของรถและเกรดของรถที่เหมาะกับคุณได้เลยทีเดียว
เช่น หากคุณใช้รถบ่อยไม่ว่าจะขับใกล้หรือไกลแล้วคุณเองชอบความสะดวกในการใช้งานระบบต่างๆ ไม่ว่าจะด้านความปลอดภัยหรือด้านความบันเทิง ตัวท็อปก็สามารถตอบโจทย์ให้คุณได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปแต่งอะไรเพิ่มเติม แต่หากคุณเน้นขับอย่างเดียว อย่างอื่นไว้ค่อยแต่งเพิ่มตอนจำเป็น ตัวธรรมดาก็ถือว่าเหมาะสมและเพียงพอ
2.งบประมาณ
งบประมาณก็เป็นเรื่องสำคัญ หาก ณ ช่วงเวลาที่คุณต้องการซื้อรถมีงบประมาณที่จำกัดให้เลือกตามงบประมาณที่วางไว้ หรือหากต้องการตัวท็อปจริงๆให้วางแผนด้านการเงินให้เรียบร้อย คำนวนการผ่อนต่างๆให้ดี จะได้ไม่ลำบากทีหลัง
3.ความต้องการส่วนตัว
ถ้างบไม่ใช่ปัญหาหรือการใช้งานไม่ซ้ำเดิม เน้นความต้องการส่วนตัว อยากได้ ต้องได้ ก็ต้องออกตัวท็อป สเปคจัดเต็ม ใช้งานไปยาวๆ
แล้วถ้าเป็นรถมือสองล่ะ?

หากใครที่ไม่ได้เน้นรถมือหนึ่ง การออกรถมือสองก็ช่วยประหยัดได้มากยิ่งขึ้นและยิ่งตัวท็อปในรุ่นก่อนหน้าก็ถือว่าคุ้มค่ามากๆ ส่วนเรื่องการตัดสินใจก็เช่นเดียวกับการซื้อรถใหม่แต่เพียงแค่คุณอาจมีงบเหลือมากขึ้นและสามารถออกตัวท็อปได้แบบที่ประหยัดและคุ้มค่าสุดๆ
สรุปแล้วออกรถใหม่จำเป็นต้องตัวท็อปไหม?
คำตอบของคำถามนี้คือ “ใช่” ถ้าหากการใช้งานของคุณเน้นขับรถไปพร้อมกับความสะดวกสบายของระบบต่างๆ งบประมาณไม่ใช่ปัญหาใหญ่และความต้องการส่วนตัวของคุณนั้นแรงกล้า
แต่คำตอบของคำถามนี้จะเป็น “ไม่” เมื่อคุณเน้นขับรถอย่างเดียว ระบบต่างๆอาจไม่จำเป็น หรือยังไม่รู้สึกว่าจำเป็นในช่วงเวลาที่คุณซื้อ ก็ออกตัวเกรดกลางหรือเกรดธรรมดา เพื่อประหยัดงบและคุ้มค่ากับความต้องการ
หากใครได้คำตอบแล้วว่าจะตัวท็อปหรือตัวธรรมดา ก็สามารถเข้ามาเลือกดูรถยนต์หรือพาหนะหลากประเภทหลายแบรนด์ได้ที่ Kaidee Auto ที่ช่วยให้คุณค้นหารถที่ต้องการได้อย่างสะดวกพร้อมมีข้อมูลต่างๆครบครัน ไปดูกันเลย !