เคยเป็นกันไหม เวลาที่มีไฟแดงที่เป็นสัญญาณเตือนบนหน้าปัด มักจะเกิดอาการแพนิคจนทำอะไรไม่ถูกกันเลยทีเดียว ซึ่งจริง ๆ อาจจะมาจากความไม่รู้ว่าสัญญาณแต่ละอันนั้นคืออะไร
ยิ่งผู้ขับขี่มือใหม่ ที่อาจจะยังไม่ค่อยได้ขับรถเท่าไรนัก หรือว่าเพิ่งซื้อรถใหม่และยังไม่ได้อ่านคู่มือก่อนขับขี่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิด!! และไม่ควรเป็นอย่างมาก!! คุณควรรู้เรื่องของสัญญาณเตือนของรถเสียก่อนว่าแต่ละเครื่องหมายนั้นหมายถึงอะไร จะได้รู้และสามารถแก้ไขปัญหาได้ถูกจุด
สีแต่ละสีบนหน้าปัดที่ต้องรู้!!
ก่อนที่จะมาทราบกันเรื่องสัญญาณ มารู้เรื่องของสีไฟที่แสดงขึ้นเสียก่อน เพราะจะได้เรียงลำดับความสำคัญว่าควรใช้รถต่อ หรือว่าควรที่จะหยุดใช้รถไปเลย จะมีอะไรบ้างมาดูเลย
ไฟสัญญาณสีเขียว
สัญญาณสีเขียวส่วนมากแล้วจะสว่างขึ้นก็ต่อเมื่อ มีการใช้อุปกรณ์บางอย่าง ซึ่งจะแสดงขึ้นมาเพื่อแจ้งเตือนให้ผู้ขับขี่นั้นได้รู้ว่า มีอุปกรณ์ที่ทำงานอยู่นะ (อย่าใช้จนลืมปิดล่ะ😘)
ไฟสัญญาณสีฟ้า
เป็นสัญญาณที่มีความหมายคล้ายคลึงกับไฟสัญญาณสีเขียว แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ สีฟ้านั้นจะเป็นอุปกรณ์ที่เปิดใช้งานแต่ไม่ได้เป็นค่าเริ่มต้นที่มาจากโรงงาน ซึ่งส่วนใหญ่จะเห็นสีฟ้านี้ต่อเมื่อเปิดไฟสูงค้างเอาไว้ (มันช่างจ้าเสียเหลือเกิน!! //ทำเสียงน้าค่อม)
ไฟสัญญาณสีเหลือง
เป็นไฟสัญญาณที่เริ่มมีความอันตรายขึ้นมาอีกหนึ่งระดับจากสีอื่น ๆ เพราะหากสัญญาณนี้เตือนขึ้นมาแล้วล่ะก็ นั่นหมายถึงการเตือนถึงอุปกรณ์บางอย่างทำงานผิดปกติให้ตรวจสอบ แต่ว่าอุปกรณ์เหล่านั้นยังคงสามารถใช้งานได้อยู่ ซึ่งอาจจะไม่ต้องรีบร้อนในการตรวจสอบเท่าไรนัก
ไฟสัญญาณสีแดง
สัญญาณทั้งหมดก็ไม่สู้เท่าสีแดงแรง 3 เท่า!! ถ้าเป็นไฟแดงขึ้นเมื่อไรเตรียมเฮได้เลย เพราะคุณจะต้องนำรถไปเข้าอู่เพื่อตรวจสอบอย่างเร่งด่วน เพราะอาจจะทำให้เกิดปัญหาตามมาอย่างต่อเนื่องจากอุปกรณ์บางอย่างที่เสียหายไป
เจอสัญญาณแบบนี้ต้องสนใจทันที!!
มาเริ่มทำความรู้จักกันเลยดีกว่าว่ามีอะไรบ้างที่นอกจากเข็มไมล์ที่ต้องสนใจ ยังมีสัญญาณอะไรที่จำเป็นจะต้องสนใจบ้าง
ไฟสัญญาณเตือนแบตเตอรี่👇
หากลองสังเกตให้ดีจะรู้ได้ว่าสัญญาณนี้จะติดขึ้นทุกครั้งที่ทำการสตาร์ทรถ แต่จะหายไปเมื่อรถยนต์นั้นสตาร์ทติดเป็นที่เรียบร้อย แต่ถ้าหากรถยนต์สตาร์ทไม่ติดแถมไฟแดงนี้ขึ้นอีก แสดงว่าแบตเตอรี่กำลังมีปัญหาอะไรสักอย่าง ต้องรีบตรวจสอบและแก้ไขโดยด่วน!!
Tips : หากสัญญาณนี้แสดงขึ้นมาระหว่างที่ขับรถอยู่ ให้ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น และพยายามหาร้านเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่ใกล้ที่สุดทันที
ไฟสัญญาณเตือนน้ำมันเครื่อง👇
เป็นสัญญาณที่แจ้งเตือนเรื่องของน้ำมันเครื่อง ซึ่งไม่ได้หมายถึงเรื่องน้ำมันเครื่องนั้นพร่องอย่างเดียว แต่รวมไปถึงอาการจากเรื่องของน้ำมันเครื่องไม่สามารถหมุนเวียนได้ หรืออาจจะเกิดการรั่วซึมของน้ำมัน
Tips : ซึ่งถ้าหากมีสัญญาณนี้เกิดขึ้น ให้จอดเข้าข้างทาง เพื่อพักเครื่องยนต์และตรวจเช็ครอยรั่วตามจุดต่าง ๆ ก่อน
ไฟสัญญาณเตือนถุงลมนิรภัย👇
อันตรายถึงชีวิต!! น่ากลัวที่สุดเหนือกว่าสิ่งอื่นใด เพราะคุณไม่สามารถรู้ได้เลยว่าคุณจะเกิดอุบัติเหตุหรือไม่ เมื่อไร ดังนั้นการที่ถุงลมนิรภัยไม่สามารถทำงานได้ นั่นก็เหมือนก้าวขาไปหนึ่งข้างกับคำว่า “หายนะ” ถึงแม้ว่ารถยนต์จะยังสามารถทำงานได้ปกติก็ตาม
Tips : เมื่อพบสัญญาณนี้แล้ว ควรนำรถเข้าศูนย์ในทันที เพื่อเปลี่ยนถุงลม หรือให้ศูนย์ตรวจสอบการทำงานของถุงลมก่อนจะออกเดินทาง
ไฟสัญญาณเตือนอุณหภูมิ👇
ปัจจุบันสัญญาณไฟอันนี้เกิดขึ้นได้ค่อนข้างยากมาก เนื่องจากเครื่องยนต์สมัยใหม่นั้นมีระบบระบายความร้อนที่ดีกว่าสมัยก่อนเป็นอย่างมาก รวมถึงการคำนวณรอบเครื่องสำหรับเปลี่ยนเกียร์แต่ละครั้งนั้น ไม่หนักเครื่องยนต์จนเกินไป แต่ถ้าสัญญาณนี้แจ้งเตือนขึ้นเมื่อไร นั่นหมายความว่ารถยนต์ของคุณกำลังร้อนระอุอยู่
Tips : เมื่อคุณทราบแล้วว่าเครื่องยนต์ร้อน ให้คุณหาที่จอดรถข้างทางหรือไม่ก็ปั้มน้ำมัน เพื่อจอดพักรถของคุณให้เย็นลงเสียก่อน
ไฟสัญญาณเตือนเครื่องยนต์👇
ชัดเจนตามสัญญาณเลย คือเรื่องของเครื่องยนต์ที่อาจจะกำลังมีปัญหาอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์มีอุณหภูมิสูงเกินกว่าที่จะเป็น หรืออาจจะมาจากเรื่องของรอบเครื่อง แต่ก็ไม่ใช่แค่นั้น เพราะไฟนี้นั้นเป็นปัญหาที่กว้างเป็นอย่างมาก ทางที่ดีควรนำรถไปเข้าศูนย์ให้เร็วที่สุด
Tips : ปัญหาให้ที่สุดในบรรดาสัญญาณทั้งหมด ควรรีบนำรถไปเข้าศูนย์ให้เร็วที่สุด
สรุปท้ายบทความ
อยากรู้กันไหมล่ะ?? ว่าสัญญาณแบบไหนบ่งบอกอะไร และคุณควรจะต้องรู้เอาไว้ เผื่อเวลาเกิดเหตุฉุกเฉินอะไร จะได้รีบเข้าไปแก้ไขได้อย่างทันท่วงที ไม่ต้องมานั่งรีรอทนปล่อยให้รถเริ่มพังไปเรื่อย ๆ
ส่วนใครที่กำลังพบเจอกับปัญหาสัญญาณเตือนขึ้นแล้วขึ้นอีก ก็ควรรีบจะนำรถยนต์ของคุณไปซ่อมได้แล้ว!! ลองเข้ามาหาช่างซ่อมรถเก่ง ๆ ได้ที่นี่เลย Kaidee แหล่งรวมช่างซ่อมมากมายหลายแขนง ที่พร้อมจะบริการคุณได้ทุกเวลา