7 รุ่นรถยนต์ไฟฟ้าน่าใช้ในประจำปี 2020

7 รุ่นรถยนต์ไฟฟ้าน่าใช้ในประจำปี 2020

ภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน นอกจากจะทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย เป็นภัยต่อสัตว์และพันธุ์พืชต่าง ๆ แล้วยังคงมีผลต่อมนุษย์ที่ต้องรับผลกระทบจากน้ำทะเลที่สูงขึ้น ภัยพิบัติที่เกิดถี่ขึ้น จึงเป็นที่มาสำหรับหลากหลายโครงการที่จัดทำมาเพื่อลดภาวะโลกร้อน 

จึงเป็นที่มาของแนวคิดลดมลภาวะของรถยนต์ไฟฟ้า โดยเน้นเรื่องลดการเผาไหม้ของน้ำมันที่ผลิตก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์ (CO) และ คาร์บอนไดออกไซด์ออกมา (CO2) เปลี่ยนเป็นการใช้ไฟฟ้าเป็นแหล่งพลังงานหลัก ในการขับเคลื่อนรถยนต์แทน 

คำนิยามของ “รถยนต์ไฟฟ้า”

รถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถ EV (Electrical Vehicle)  หมายถึง รถยนต์ที่ใช้ระบบไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเป็นหลัก ปราศจากการใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ที่จำเป็นต้องใช้น้ำมันเพื่อการสร้างพลังงาน เมื่อรถยนต์ไฟฟ้าใช้เพียง ระบบไฟฟ้า แต่เพียงอย่างเดียว ทำให้ปราศจากมลพิษที่เกิดจากเผาไหม้น้ำมันไปโดยปริยาย 

โดยการขับเคลื่อนรถยนต์ไฟฟ้านั้นจะใช้การชาร์จไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่ หลักการเดียวกับ การชาร์จแบตมือถือในชีวิตประจำวัน

7 รุ่นน่าใช้ของรถยนต์ไฟฟ้าปี 2020

พอทราบกันถึงนิยามว่า รถยนต์ไฟฟ้า คืออะไรและเป็นอย่างไรกันไปพอสังเขปแล้ว สำหรับปี 2020 นี้ รถยนต์ไฟฟ้าจัดเป็นเทรนด์กระแสหลัก ที่กำลังมาและโด่งดังไปทั่วโลก ทำให้ค่ายผลิตรถยนต์หลายค่ายเริ่มหันมาจับกระแสด้านนี้ 

แม้เมืองไทยยังไม่แพร่หลายนัก ทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายค่ายรถ ได้เริ่มนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาหลายเจ้ากันเลยทีเดียว รุ่นที่น่าใช้และน่าสนใจมีดังต่อไปนี้

MG-ZS-EV
Credit : MG THAILAND

1.MG ZS EV

แบรนด์น้องใหม่เกือบที่สุดของไทยอย่าง MG เรียกได้ว่านอกจากโมเดลอื่นของแบรนด์นี้จะดังเป็นพลุแตกแล้ว ตัว EV ก็จัดเป็นอันดับ 1 ของยอดขายรถ EV ของประเทศไทยในช่วงครึ่งปี 2020 เลยทีเดียว ซึ่งอันดับดังกล่าวจัดโดยเว็บ headlightmag นับได้ว่าตั้งแต่เปิดตัวตั้งแต่ปี 2019 จนถึงปัจจุบัน กระแสก็ไม่ลดน้อยลงไปเลย จัดเป็นหนึ่งในรถยนต์ไฟฟ้าแบบ SUV ที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก 

ขนาดเครื่องยนต์ : 110 กิโลวัตต์ หรือ เทียบเท่า 150 แรงม้า 

แรงบิด : 350 นิวตันเมตร 

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. : 9.2 วินาที

ความจุแบตเตอรี่ : 44.5 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง 

ระยะทางวิ่งสูงสุด : 337 กิโลเมตร

ประเภทหัวชาร์จ : CCS Type 2 

จุดเด่น : จุดเด่นของรถคันนี้อยู่ที่ฟังก์ชันอำนวยความสะดวก อย่าง ระบบ  i-SMART ที่สามารถเชื่อมต่อบลูทูธกับโทรศัพท์มือถือ เช็กรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับรถยนต์ และระบบการสั่งการด้วยเสียงเป็นภาษาไทยที่จัดมาให้แบบครบครัน

ราคา 1,190,000 บาท

Nissan-Leaf
Credit : NISSAN THAILAND

2.Nissan LEAF

แบรนด์สัญชาติญี่ปุ่น เป็นเจ้าแรกที่นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถ EV อย่างเป็นทางการในปี 2018 ด้วยยอดขายอันดับ 1 ทั่วโลก และอันดับ 2 ในไทย ทำให้ Nissan Leaf แฮทช์แบ็ก 5 ประตู มีความโดดเด่นทั้งเรื่องของความไว้วางใจ และน่าใช้ไม่รองไปกว่าใคร  นอกจากนี้ยังได้ผ่านมาตรฐานการทดสอบความประหยัดน้ำมันและมลพิษจากยุโรป European Driving Cycle (NEDC) 

ขนาดเครื่องยนต์ : 110 กิโลวัตต์ หรือ เทียบเท่า 150 แรงม้า 

แรงบิด : 320 นิวตันเมตร 

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. : 7.9 วินาที

ความจุแบตเตอรี่ : 40 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง 

ระยะทางวิ่งสูงสุด : 311 กิโลเมตร

ประเภทหัวชาร์จ : Type 1, CHAdeMo และแถม MODE 3 Cable  

จุดเด่น : Nissan Leaf จะเน้นในเรื่องของ e-pedal ที่สามารถใช้คันเร่งและเบรกภายในแป้นเหยียบอันเดียวกัน ทำให้การเร่งแซงมีความนุ่มนวลมากยิ่งขึ้น รวมถึงเรื่อง zero emission ที่ทำให้รถคันนี้มีการปล่อยมลพิษออกมาเป็น 0% ยิ่งไปกว่านั้นยังมีระบบช่วยเบรกฉุกเฉินที่เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงเกี่ยวกับระบบความปลอดภัย

ราคา 1,990,000 บาท

Credit : Tesla

3. Tesla Model 3 รุ่น Long Range RWD

แม้ Tesla จะยังไม่ได้นำเข้าอย่างเป็นทางการในประเทศไทย แต่ไม่พูดถึงก็ไม่ได้ เพราะเป็นหนึ่งในรุ่นที่คนไทยนิยมใช้เป็นอย่างมาก หากพูดว่า Nissan Leaf เป็นเจ้าแรกที่เปิดตัวเป็นทางการ Tesla ก็คือแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์แรกที่ถูกนำเข้ามาในไทย ด้วยความหรูหราและดีไซน์อันเฉียบคมทำให้รถคันนี้ มีความโดดเด่นในเรื่องของดีไซน์และเป็นที่สุดในเรื่องของเทคโนโลยี

ขนาดเครื่องยนต์ :  450 แรงม้า 

แรงบิด : 472 นิวตันเมตร 

อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. : 4.4 วินาที

ความจุแบตเตอรี่ : 70 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง 

ระยะทางวิ่งสูงสุด : 500 กิโลเมตร

ประเภทหัวชาร์จ : Type 2 (7-pin)

จุดเด่น : ระบบเครื่องยนต์แบบ Dual Motor หรือการใช้มอเตอร์สองตัวแยกหน้าและหลัง ทำให้การขับขี่เป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น Tesla Model 3 จัดเป็นตัวที่สามารถซิ่งได้แรงเป็นอย่างมาก แถมการชาร์จเพียงครั้งเดียวยังไปได้ไกลถึงประมาณ 500 กิโลเมตรเลยทีเดียว 

แต่ระบบที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือการใช้คีย์การ์ดในการปลดล็อกรถยนต์ ไม่ต้องใช้กุญแจรถอีกต่อไป ดีไซน์ภายในโดยเฉพาะหน้าจอทัชสกรีนที่มีขนาดใหญ่ 15 นิ้ว ที่ถูกออกแบบมาให้รองรับการสั่งการทุกอย่างผ่านหน้าจอ ปราศจากปุ่มต่าง ๆ บริเวณคอนโซลหน้ารถที่เคยมีอีกต่อไป 

ราคา 1,570,000 บาท

Credit : Hyundai THAILAND

4. Hyundai KONA Electric

รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติเกาหลี ที่มาพร้อมกับรูปทรง SUV พร้อมดีไซน์ใหม่สุดล้ำ ทั้งกระจังหน้าแบบทึบที่ช่วยเรื่องอากาศพลศาสตร์ ที่จะทำให้รถยนต์มีการต้านแรงลมได้ดีขึ้น ทั้งลายเส้นที่ถูกออกแบบมาอย่างโฉบเฉี่ยวดูล้ำมากยิ่งขึ้น เหมาะสมกับดีไซน์ในฐานะรถยนต์ไฟฟ้าเป็นอย่างมาก 

ขนาดเครื่องยนต์ : 136 แรงม้า 

แรงบิด : 395 นิวตันเมตร 

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. : 9.7 วินาที

ความจุแบตเตอรี่ : 39.2 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง 

ระยะทางวิ่งสูงสุด : 345 กิโลเมตร

ประเภทหัวชาร์จ : Type 2 (7-pin)

จุดเด่น : ยอดขายอันดับ 3 ในประเทศไทยอย่าง KONA ที่พกพาดีไซน์สุดล้ำสไตล์ SUV มาทำให้หลายคนหลงรักรถคันนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น นอกจากเรื่องของดีไซน์แล้ว ยังมีเรื่องของระบบเบรกที่ถูกปรับให้เหมาะสมเพื่อนำพลังงานไฟฟ้ากลับมาใช้ใหม่ได้ อย่างระบบ Regenerative Breaking System ที่ผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับได้จากพวงมาลัย 

ราคา 1,849,000 บาท

Credit : KIA THAILAND

5. KIA Soul EV

รถยนต์นำเข้าสไตล์เกาหลีที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก ถึงแม้ยังไม่มีการเปิดตัวในไทย แต่บริษัทเอกชนหลายเจ้าก็ได้นำเข้ามาจำหน่ายบ้างแล้ว รูปทรง SUV ประตูที่ออกแบบด้วยดีไซน์สุดน่ารัก เหมาะกับการเดินทางท่องเที่ยวกับเพื่อนและครอบครัวเป็นอย่างมาก  

ขนาดเครื่องยนต์ : 204 แรงม้า 

แรงบิด : 395 นิวตันเมตร 

อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. : 7.6 วินาที

ความจุแบตเตอรี่ : 64 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง 

ระยะทางวิ่งสูงสุด : 450 กิโลเมตร

ประเภทหัวชาร์จ : Type 2 (7-pin) / CCS Type 2

จุดเด่น : ดีไซน์ที่แปลกตาโดดเด่นไม่เหมือนใคร ที่มาพร้อมสีอันสดใสให้เลือกถึง 5 สี ไม่คงโทนเรียบเหมือนรถยนต์ไฟฟ้าทั่วไป ถือเป็นหนึ่งในจุดขายที่น่าสนใจสำหรับ Soul EV ทาง Kia เองก็ได้พัฒนารถรุ่นนี้จนกลายเป็นไฟฟ้า 100% ได้สำเร็จ พร้อมด้วยฟังก์ชันมากมาย โดยยังคงเน้นเอกลักษณ์แห่ง Soul อยู่

ราคา 2,387,000 บาท

Credit : Audi MediaCenter

6. Audi E-tron

จัดว่าเป็นหนึ่งใน Luxury Brand ที่เริ่มหันมาจับตลาดด้าน EV อย่างเป็นทางการ โดยเริ่มต้นจากตัว SUV ที่ยังไม่ตลาดไม่มากนักในด้าน EV มาเป็นตัวเปิด ทำให้กระแสจากหลายด้านเริ่มให้ความสนใจมากขึ้น นอกจากอัตราความเร็วที่มากแล้ว ยังสามารถพุ่งไปไกลได้ถึง 400 กว่ากิโลอีกด้วย นับว่าเป็นหนี่งใน EV ที่คุ้มค่าแก่การใช้อย่างมาก 

ขนาดเครื่องยนต์ : 360 แรงม้า 

แรงบิด : 561 นิวตันเมตร 

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. : 5.7 วินาที

ความจุแบตเตอรี่ : 95 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง 

ระยะทางวิ่งสูงสุด : 411 กิโลเมตร

ประเภทหัวชาร์จ : Type 2 (7-pin)

จุดเด่น : สีรถสวยที่ช่วยขับเน้น ให้รถดูเรียบหรูและมีสไตล์มากขึ้น คือหนึ่งในจุดเด่นของรถ EV คันนี้ ไม่เพียงเท่านั้น ความเร็วและความแรงของรถ ยังไม่เป็นรองใคร เหมาะสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการทำความเร็ว และต้องการสไตล์รถครอบครัว 

แถมด้วยกระจกข้างที่ทำหน้าที่คล้ายกล้องวงจรปิด ที่สามารถแสดงผลบริเวณคอนโซลด้านข้าง เพื่อเอื้อให้ผู้ขับสามารถมองเห็นได้ง่ายขึ้น สามารถสัมผัสประสบการณ์ขับขี่แบบใหม่ เหนือชั้นกว่าใครเพียงแค่คุณเริ่มเหยียบคันเร่งเท่านั้น 

ราคา 5,099,000 บาท

Credit : MINI-TH

7.MINI Cooper SE

สำหรับแบรนด์ Mini ก็ได้เปิดตัว MINI Cooper SE ตัวใหม่ ที่เป็นรถไฟฟ้า 100% เรียกได้ว่าเป็นกระแส Zero Emission ที่กำลังมาในช่วงปี 2020 จริง ๆ แน่นอนว่าตัวนี้ ทางประเทศไทยก็ได้นำเข้ามาทำตลาดเช่นเดียวกัน กระแสตอบรับดีมากจนสามารถขายหมดตั้งแต่เปิดจองเลยทีเดียว 

ขนาดเครื่องยนต์ : 184 แรงม้า 

แรงบิด : 270 นิวตันเมตร 

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. : 7.3 วินาที

ความจุแบตเตอรี่ : 32.6 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง 

ระยะทางวิ่งสูงสุด : 270 กิโลเมตร

ประเภทหัวชาร์จ : Type 2 (7-pin) / CCS Type 2

จุดเด่น : ตัวแบตเตอรี่ที่มีน้ำหนักมากขึ้น ทำให้จุดศูนย์ถ่วงของรถอยู่ต่ำลง นั้นหมายความว่า MINI คันนี้สามารถยึดเกาะถนนได้ดีขึ้น เข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ ทำให้ผู้ขับสามารถรู้สึกสนุกและท้าทายในการขับมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังรองรับการชาร์จทุกแบบ ไม่ว่าจะเป็น AC (ไฟฟ้ากระแสสลับ) หรือ DC (ไฟฟ้ากระแสตรง) 

ด้านดีไซน์ก็ยังคงเอกลักษณ์ของ MINI Cooper ไว้อย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะลายเส้นคาดสีเหลืองบริเวณกระจังหน้าและสัญลักษณ์ตัว E ที่แสดงถึงเทคโนโลยีแห่งอนาคตได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ที่น่าสนใจคือ เสียงสตาร์ทรถ ที่มีความล้ำและให้ความรู้สึกเสมือนอยู่ในโลกอนาคต

ราคา 2,290,000 บาท

วิธีการทำงานของรถยนต์ไฟฟ้า

หลักการทำงานของรถไฟฟ้านั้นไม่ยาก เพราะเมื่อนำเครื่องยนต์สันดาปภายในออกไป ระบบการส่งพลังงานจากน้ำมันก็เปลี่ยนไปเหลือเพียงแค่ แบตเตอรี่ (Battery) อุปกรณ์แปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter) และมอเตอร์ไฟฟ้า (Motor) เท่านั้น

เริ่มต้นที่ตัวแบตเตอรี่จะรับกระแสไฟฟ้ามาจากการชาร์จ เมื่อทำการสตาร์ทรถ ตัวแบตเตอรี่จะส่งต่อไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์แปลงกระแสไฟฟ้า โดยจะเปลี่ยนจากไฟฟ้ากระแสตรง (DC) เป็นกระแสสลับ (AC) แล้วจึงส่งต่อไปยังตัวมอเตอร์ไฟฟ้า 

มอเตอร์ไฟฟ้าจะทำหน้าที่เป็นจุดแจกจ่ายพลังงาน ไปยังล้อเพื่อขับเคลื่อนต่อไป ทั้งนี้การใช้ไฟฟ้าเพื่อการขับเคลื่อนจะไม่มีมลพิษปล่อยออกมา เนื่องจากไม่เกิดเผาไหม้เช่นเครื่องยนต์สันดาปภายในนั่นเอง

ทำไมเราถึงควรหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า 

1. ประหยัดค่าใช้จ่าย

หนึ่งในปัจจัยหลักที่คุณควรเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้า เพราะนอกจากจะประหยัดด้านค่าบำรุงรักษารถยนต์แล้วยังไม่ต้องคอยพบเจอปัญหา ที่เกิดจากเครื่องยนต์ให้น่าหงุดหงิดใจ ทั้งยังไม่ต้องไปเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องบ่อย ๆ อีกด้วย 

ค่าน้ำมันเองก็เช่นเดียวกัน อย่างที่ทราบกันเรื่องสัมปทานในการขุดเจาะน้ำมันแต่ละปีนั้น ทำให้น้ำมันมีราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะเจอพิษเศรษฐกิจเข้าไป แต่ราคาน้ำมันไม่ได้ลดน้อยลงเลย ทว่าเมื่อเปลี่ยนมาเป็นค่าไฟฟ้าแทนแล้ว การชาร์จครั้งหนึ่งอาจอยู่ที่เพียง 300 กว่าบาทเท่านั้น ประหยัดไปครึ่งต่อครึ่งแบบเห็นได้ชัด

2. ลดมลพิษ

Zero Emission คือจุดมุ่งหมายสูงสุดที่ รถ EV ถูกผลิตออกมา กล่าวคือการลดเลิกใช้น้ำมัน และใช้ไฟฟ้า 100% แทนเพื่อลดการเผาไหม้ที่ผลิตก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์ (CO) และคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ออกมา เพราะก๊าซข้างต้นจะเพิ่มภาระให้โลก และส่งผลให้อุณหภูมิสูงเร็วขึ้น 

โดยเฉพาะสถานการณ์รถติดอย่างประเทศไทย การที่ติดอยู่บนท้องถนนมากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน ก่อให้เกิดการปล่อยควันไอเสียที่สร้างมลภาวะต่อโลกอย่างมากมาย ดังนั้นการใช้ไฟฟ้าที่ไม่ส่งผลเสียต่อโลกย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่าอย่างแน่นอน 

3. ความเงียบ

เมื่อปราศจากการทำงานของเครื่องยนต์สันดาปภายใน เหลือเพียงมอเตอร์ไฟฟ้า แน่นอนว่าภายในห้องโดยสาร จะได้รับความเงียบสงบอย่างที่ไม่เคยได้มาก่อน โดยที่ผู้ขับสามารถรับรู้ความแตกต่างระหว่างรถยนต์ทั่วไปกับรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างชัดเจน

4. ลดการเสียเวลา

การเสียเวลาในที่นี้ หมายถึง การต้องออกไปเติมน้ำมัน หรือ การต้องต่อคิวเพื่อเติมน้ำมันวันละสองถึงสามครั้งต่อสัปดาห์ แค่การจราจรที่น่าปวดหัวอยู่แล้ว ยังต้องกังวลเรื่องน้ำมันอีก แต่กับรถยนต์ไฟฟ้าปัญหานี้ จะลดน้อยลงไปเลย เพราะรถยนต์ไฟฟ้าทุกคันสามารถชาร์จไฟได้จากที่บ้านโดยตรง 

แม้การชาร์จไฟบ้านจากเต้าเสียบโดยตรง อาจใช้เวลาชาร์จนานถึง 12-16 ชั่วโมง แต่ทางศูนย์บริการของรถจะแนะนำให้คุณติดตั้งแท่นชาร์จที่บ้าน ซึ่งจะทำให้รถของคุณชาร์จแบตเตอรี่เร็วขึ้นเหลือเพียง 4-7 ชั่วโมงเท่านั้น

วิธีการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า

1. ชาร์จไฟแบบธรรมดา (Normal Charger)

การชาร์จแบบนี้จะเป็นการชาร์จโดยเสียบปลั๊กเข้ากับตัวบ้านโดยตรง โดยกระแสไฟที่รับมาจะเป็น ไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ก่อนจะถูกเปลี่ยนเป็น ไฟฟ้ากระแสตรง (DC) เก็บไว้ภายในแบตเตอรี่ ซึ่งการชาร์จประเภทนี้จะกินเวลามากถึง 12-16 ชั่วโมงเลยทีเดียว

2. แท่นชาร์จ (Charger Wall Box)

ติดตั้งแท่นชาร์จ หรือ ที่เราเรียกกันว่า Charger Wall Box การชาร์จประเภทนี้จะต้องได้รับการติดตั้งตัวชาร์จไว้ที่กำแพงที่บ้านเสียก่อน โดยสามารถติดต่อกับทางศูนย์รถยนต์ได้โดยตรง เนื่องจากทางศูนย์จะมีดีลเลอร์อยู่แล้ว หรือ ตามห้างสรรพสินค้าบางแห่งก็มีไว้บริการเหมือนกัน

แม้จะเป็นการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) เช่นเดียวกันกับ การชาร์จโดยทั่วไปจากตัวบ้าน ทว่าการชาร์จแบบนี้สามารถย่นระยะเวลาการชาร์จ เหลือเพียง 4-7 ชั่วโมงเพียงเท่านั้น

3. ชาร์จเร็ว (Quick Charger)

ชาร์จประเภทนี้มักจะเจอได้ตามปั๊มชาร์จทั่วไป โดยอัตราการชาร์จจะอยู่ที่ 0-80% ของแบตเตอรี่ โดยใช้เวลาประมาณ 40-60 นาทีเพียงเท่านั้น เพราะว่าเป็นการชาร์จโดยใช้ไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ไม่ต้องเสียเวลาแปลงกระแสไฟ ซึ่งไว้สำหรับกรณีเร่งด่วนจริง ๆ จะดีกว่า

สรุปท้ายบทความ

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าน่าใช้ 7 รุ่นที่ได้กล่าวไปข้างต้น ไม่ได้เป็นทั้งหมดของรถยนต์ไฟฟ้าที่มี ในอนาคตอาจมีออกมาอีกหลายรุ่น และเทคโนโลยีอาจพัฒนาเหนือขั้นไปมากกว่าที่เป็นอยู่อีกหลายเท่า เพราะกระแสของการอนุรักษ์โลกกำลังมา ไม่ว่าประเทศใดก็เริ่มตื่นตัวกับภาวะโลกร้อน ที่นำมาซึ่งผลกระทบอันร้ายแรง อย่างภัยพิบัติ 

ดังนั้นการเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้า จึงถือเป็นเรื่องที่ดี ไม่ใช่แค่กับตัวคุณ แต่กับโลกที่อุณหภูมิสูงขึ้นทุกวันด้วย มาร่วมรักโลกด้วยกัน โดยการหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้มากขึ้นได้ที่ Kaidee Auto ที่จะมาชวนคุณรักษ์โลกไปด้วยกันค่ะ 

สอบถามข้อมูลอื่นๆ หรือสิทธิพิเศษเพิ่มเติม

กรุณาสแกนคิวอาร์โค้ด หรือเพิ่มเพื่อนด้วยไอดีไลน์ @kaideeofficial