อยู่กับบรรยากาศเดิมๆ มาหลายปี ถึงเวลาเปลี่ยนแล้วหรือยัง ? แต่จะรีโนเวทใหม่ทั้งหมดก็กลัวงบบานปลาย วันนี้เราเลยอยากชวนทุกคนมาเปลี่ยนห้องเก่าเป็นห้องใหม่ง่ายๆ ด้วยวอลเปเปอร์ติดผนัง จะห้องไหนๆ ก็เปลี่ยนได้ รับรองสวยเฉียบ เหมือนได้ห้องใหม่
วอลเปเปอร์ (Wallpaper) คืออะไร
วอลเปเปอร์ คือ กระดาษคุณภาพสูงหรือเรียกว่าจะวัสดุบุผนังก็ได้ ซึ่งใช้ในการตกแต่งภายในบ้านส่วนผนังของห้องให้สวยงามมากยิ่งขึ้น ตัววอลเปเปอร์นั้นถูกผลิตจากวัสดุประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กระดาษ ยิปซั่ม หรือผ้า จากนั้นเคลือบผิวหน้าด้วยโฟม ไวนิล PVC หรือแม้แต่เส้นใยธรรมชาติพร้อมการพิมพ์ลวดลายต่างๆ
ทำความรู้จักวอลเปเปอร์ประเภทต่าง ๆ
ในปัจจุบันพบว่า วัสดุที่ใช้ในการทำวอลเปเปอร์ติดผนังมีทั้งหมด 9 ประเภทด้วยกัน ซึ่งแต่ละประเภทมีข้อดี-ข้อจำกัด ดังต่อไปนี้
Vinyl Wallpaper
วัสดุที่นิยมใช้มากที่สุด ผลิตจากกระดาษเคลือบผิวหน้า (Surface) ด้วยสารประเภทไวนิลพิมพ์สี และใช้การกดลาย (Emboss) และในบางชนิดมีการทำรีจิสเตอร์ (Register) เพื่อเพิ่มเส้นของลวดลายต่างๆ ให้กับวอลเปเปอร์ ซึ่งวอลเปเปอร์ชนิดนี้สร้างมิติของลายได้อย่างหลากหลาย และยังสามารถกำหนดรายละเอียด ความตื้นลึกของลายได้อีกด้วย
ข้อดี – มีความทนทาน ลองรับการขูดขีดได้ดี สามารถเช็ดทำความสะอาดได้ด้วยน้ำ ดูแลรักษาง่าย ไม่อมฝุ่น ซึ่งเหมาะกับการแต่งผนังห้องทั่วไป
ข้อจำกัด – สี และลวดลายจางเร็ว หากเจอแสงแดดบ่อยๆ
Duplex Wallpaper
วอลเปเปอร์ชนิดกระดาษ นิยมใช้ผลิตเป็นวอลเปเปอร์สำหรับเด็ก มีความหนาน้อยกว่าวอลเปเปอร์แบบอื่น โดยจะเน้นไปที่ลายและสีสัน ผลิตจากกระดาษพิมพ์ลายอย่างเดียว ไม่มีการเคลือบผิวหน้า หรืออาจจะเพียงเคลือบมันบางๆ บนผิวหน้าเท่านั้น
ข้อดี – หาง่าย ราคาไม่สูง
ข้อจำกัด – ไม่เหมาะกับการติดในห้องที่มีความชื้นหรือเปียก ลวดลายไม่ค่อยมีมิติ
Textile Wallcovering
วอลเปเปอร์ชนิดหลังกระดาษ (Paper Black) แล้วใช้ใยสังเคราะห์ หรือ เส้นใยธรรมชาติ เช่น โพลีเอสเตอร์ ฝ้าย ไหม ทอเป็นลวดลายบนกระดาษ
ข้อดี – มีเส้นสายชัดเจน โดดเด่น สร้างความหรูหราให้กับผนังได้เป็นอย่างดี (ส่วนมากวอลเปเปอร์ประเภทนี้จะเป็นแบบหน้ากว้าง)
ข้อจำกัด – ดูแลรักษาค่อนข้างยาก เนื่องจากต้องระมัดระวังไม่ให้โดนฝุ่น และความชื้น เพราะทำมาจากเส้นใยธรรมชาติซึ่งมีความเปราะบาง
Non-Woven Wallpaper
วอลเปเปอร์นวัตกรรมใหม่ผลิตจากเส้นใยเซลลูโลส ไม่ต้องใช้เยื่อไม้จากป่าสนในการทำวัตถุดิบ และยังเป็นเทคโนโลยีจากอุตสาหกรรมปิโตรเลียม เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในตลาดฝั่งยุโรป
ข้อดี – น้ำหนักเบา ฉีกขาดยาก ติดตั้งง่ายกว่ากระดาษ และทนทานมากกว่าในเรื่องความเหนียว ระบายความชื้นได้ดีกว่ากระดาษ ลอกออกง่ายสำหรับการเปลี่ยนวอลเปเปอร์ (Repealable)
ข้อจำกัด – อาจมีการลอกหรือหลุดบริเวณรอยต่อ หรือ ขอบ
Wood Backing Wallpaper
วอลเปเปอร์ที่ผิวหน้าเป็นไม้จริง ใช้วัสดุที่เป็นธรรมชาติ เช่น ไม้คอร์ก ไม้ไผ่ มาทำลามิเนตกับกระดาษหนังไก่ ไม่มีการเคลือบผิวหน้าเหมือนประเภทอื่นๆ
ข้อดี – สวยงาม และให้ผิวสัมผัสแบบธรรมชาติ
ข้อจำกัด – ต้องระมัดระวังเรื่องความชื้น
Fabric Backing Wallpaper
วอลเปเปอร์ที่ใช้วัสดุสิ่งทอเป็นด้านหลังแทนกระดาษ และเคลือบผิวหน้าด้วยสารพีวีซี (PVC)
ข้อดี – ทนทาน ป้องกันการกระแทกได้ดี เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีการใช้งานมาก
ข้อจำกัด – ควรระมัดระวังเรื่องของความชื้น
Photo Wall
วอลเปเปอร์ชนิดภาพวิว กระดาษติดผนังที่พิมพ์เอาลวดลายหรือรูปภาพที่ถ่ายจากธรรมชาติหรือภาพเขียน ภาพถ่าย โดยมีลักษณะเป็นภาพเดียวทั้งผนัง เช่น ภาพบรรยากาศเมือง ภาพวิวธรรมชาติ ภาพบุคคล เป็นต้น
ข้อดี – สวยงาม ดูมีเรื่องราว
ข้อจำกัด – ต้องใช้ความแม่นยำในการวัดขนาดพื้นที่ให้แน่นอน เพราะถ้าหากไม่เตรียมพื้นที่ อาจทำให้เมื่อติดตั้งไปแล้ว ภาพที่ได้ไม่สวยงามอย่างที่ควรจะเป็น
Fiber Wall
วอลเปเปอร์แบบไฟเบอร์ เป็นวอลเปเปอร์ที่แตกต่างจากวอลเปเปอร์อื่นๆคือ ผลิตจากวัสดุแผ่น ที่เป็นแผ่นยิปซัมรีดบาง แล้วเคลือบผิวหน้าด้วยการใช้เส้นใยไฟเบอร์มาถักเป็นโครงสร้างเส้นใย (NET) จากนั้นทำการพิมพ์สีลวดลายให้สวยงาม
ข้อดี – ป้องกันการรั่วซึมของน้ำได้ดี อีกทั้งโครงข่าย (NET) ของไฟเบอร์มีความเหนียว ยึดผนังได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยผนังให้ไม่เกิดรอยร้าว และป้องกันรอยแยกได้ในระดับหนึ่ง
ข้อจำกัด – อาจเกิดรอยลอก ล่อน ที่สี หรือพื้นบนผิวผนังเดิมเมื่อทำการลอกออก
Foam Wallcovering
วอลเปเปอร์ชนิดหลังกระดาษ (Paper Back) เคลือบผิวหน้าด้วยสารพีวีซี (PVC) หรือโฟมพิมพ์สี จากนั้นทำการอบนูนเพื่อให้เป็นลวดลาย เหมาะสำหรับติดตั้งห้องที่ฝุ่นค่อนข้างน้อย เช่น ห้องนอน ห้องทำงาน
ข้อดี – ลวดลายเด่นชัด มีความหนานุ่ม สามารถทำความสะอาดได้ง่าย บดบังความไม่เรียบร้อยของผนังได้ดี นอกจากนี้ยังมีน้ำหนักเบากว่าวอลเปเปอร์ประเภทอื่น ทำให้สามารถติดบนเพนดานได้อีกด้วย
ข้อจำกัด – ในกรณีที่นำไปติดบนเพดาน ควรระวังเป็นพิเศษในเรื่องของความชื้นจากฝ้าเพดาน เพราะอาจเกิดหยดน้ำจากความเย็นบริเวณช่องแอร์แบบฝังเพดาน หรือ หลังคารั่วแล้วน้ำหยดซึมลงเพดานได้ เป็นต้น
เลือกลายวอลเปเปอร์ติดผนังอย่างไรให้ตรงใจ
- วอลเปเปอร์ลายใหญ่สีเข้ม ไม่เหมาะกับห้องขนาดเล็กหรือแคบ แต่ถ้ายังต้องการติดก็สามารถทำได้ แต่ควรติดกับผนังด้านใดด้านหนึ่ง หรือแค่บางส่วนของห้องเท่านั้น เช่น บริเวณหัวเตียง หรือในส่วนที่ต้องการความโดดเด่น
เพิ่มเติม : ไม่ควรเลือกวอลเปเปอร์ลายดังกล่าวทั้งห้อง เนื่องจากวอลเปเปอร์บางลายอาจดูรก ลายตา ส่งผลให้รู้สึกเวียนหัว เบื่อเร็ว อีกทั้งยังทำให้ห้องดูแคบ และยังเปลืองงบประมาณอีกด้วย
- วอลเปเปอร์ที่มีสีอ่อน ลายเรียบ ลายเล็ก จะช่วยทำให้ห้องกว้าง เหมาะกับการตกแต่งห้องที่มีเฟอร์นิเจอร์ Build-In ห้องที่มีการตกแต่งลายละเอียดมากๆ ห้องขนาดเล็กมีพื้นที่จำกัด เพราะวอลเปเปอร์ดังกล่าวจะยิ่งช่วยทำให้ห้องสว่าง ดูกว้าง และสบายตามากขึ้น อีกทั้งประหยัดการใช้ปริมาณวอลเปเปอร์ เนื่องจากการต่อลายเสียเศษน้อยกว่า
- วอลเปเปอร์ลายทาง/ลายเส้น ช่วยทำให้ห้องดูสูงขึ้น จึงเหมาะสำหรับห้องที่มีเพดานเตี้ย แต่ก็ควรเลือกลายวอลเปเปอร์ ให้เข้ากับสไตล์การตกแต่ง หรือแนวใดแนวหนึ่งตามการออกแบบ แต่ถ้าต้องการผสม ต้องดูสีหรือลายให้ไปด้วยกันได้ โดยอาจจะนำมาเปรียบเทียบกับหลายๆโทนสี ซึ่งการเลือกใช้สีไม่จำเป็นกลมกลืนเพียงอย่างเดียว อาจใช้สีอื่นมาตัดหรือผสมกันได้ ซึ่งจะช่วยสร้างความโดดเด่น แตกต่าง สะดุดตาเพิ่มขึ้น
4 ข้อควรคำนึงก่อนการเลือกซื้อวอลเปเปอร์ติดผนัง
1. ชนิดของห้อง
เพื่อให้ได้วอลเปเปอร์ติดผนังที่เหมาะสมกับห้อง คุณจึงควรพิจารณาก่อนว่าคุณต้องการติดวอลเปเปอร์ที่ห้องไหน เช่น ห้องนอน ให้ใช้วอลเปเปอร์สีอ่อน หรือลายดอกไม้เล็กๆ เพื่อให้ดูสวยงามมากยิ่งขึ้น เป็นต้น
2. ขนาดห้อง
ขนาดห้องมีส่วนเป็นอย่างมากในการเลือกใช้วอลเปเปอร์ โดยเฉพาะในเรื่องของสี
2.1 ห้องขนาดใหญ่ ควรใช้วอลเปเปอร์ที่มีสีค่อนข้างเข้ม สามารถเลือกวอลเปเปอร์ลายลายเล็กหรือลายใหญ่ก็ได้
2.2 ห้องขนาดเล็ก ควรใช้วอลเปเปอร์ที่มีสีอ่อน เพื่อให้ห้องดูกว้างขึ้น สว่างขึ้น ไม่ควรเลือกวอลเปเปอร์ลายใหญ่เกินไป เพราะทำให้ดูอึดอัดและลายตา
2.3 ห้องที่มีความสูงมากๆ ควรใช้วอลเปเปอร์ที่มีลายขวาง
2.4 ห้องที่ความสูงไม่มาก ควรใช้วอลเปเปอร์ที่มีลายทางตามความสูงจะทำให้ห้องดูสูงขึ้น
3. สีของเฟอร์นิเจอร์
เพื่อให้การติดวอลเปเปอร์ดูสวยงามมากยิ่งขึ้น จึงควรเลือกสีหรือลวดลายวอลเปเปอร์ให้เข้ากับเฟอร์นิเจอร์ที่จะใช้หรือมีอยู่
4. บรรยากาศของห้องที่ต้องการ
เพราะตัวของคุณใช้เวลาอยู่ในห้องแทบทุกวัน คุณจึงควรรู้ความต้องการของตนเอง ว่าอยากให้บรรยากาศของห้องออกมาในรูปแบบใด ทั้งนี้ก็เพื่อให้สุขภาพจิตและอารมณ์ของคุณมีแต่ความสบายใจยังไงล่ะ
ข้อดีของวอลเปเปอร์ติดผนัง
- ช่วยบดบังความไม่เรียบร้อยต่างๆของผนัง เช่น รอยปูนฉาบที่ไม่เรียบ รอยปูนแตกลาย หรือรอยร้าวบนผนัง
- ใช้ตกแต่งตาม Style ต่างๆ เช่น Modern, Classic, Plain & Texture, Special, Variety, Contemporary, Natural & Vintage
- ช่วยให้การตกแต่งภายในเสร็จได้ภายในเวลาสั้นๆ สามารถเข้าอยู่ได้ทันที ไร้กลิ่นเหม็นรบกวน
- ลดเสียงรบกวน จากผนังห้องได้ดีกว่าผนังทาสี
- ช่วยมลภาวะทางเสียงที่อาจจะได้รับจากห้องติดกัน และช่วยป้องกันเสียงจากห้องตัวเองที่อาจหลุดลอดออกไปรบกวนห้องข้างเคียงอีกด้วย
- ไม่มีกลิ่น ไม่เลอะเทอะ เหมือนกับการทาสีถึงแม้บางคนจะบอกว่าสีรุ่นใหม่ที่ดีจะไม่ค่อยมีกลิ่น แต่อย่างไรในการทาสีก็ต้องมีกลิ่นหลงเหลืออยู่บ้าง แต่การติดวอลเปเปอร์จะไม่มีกลิ่นติดเสร็จสามารถเข้าอยู่ได้เลย
- เปลี่ยนจากห้องโล่งๆ ให้กลายเป็นห้องที่น่าสนใจได้ง่ายๆ เนื่องจากวอลเปเปอร์มีลวดลายสวยให้เลือกมากมาย เช่น ลายไม้ ลายอิฐ ภาพวิว
- เป็นฉากถ่ายรูปภายในบ้านได้ ไม่ต้องไปสตูดิโอถ่ายภาพ
ข้อจำกัดของวอลเปเปอร์ติดผนัง
- ปัญหาราขึ้น ถึงแม้ว่าการติดวอลเปเปอร์ติดผนังจะติดในบ้านใหม่ หรือห้องใหม่ แต่ถ้าเจอน้ำฝนรั่วเข้ามาใส่หรือน้ำต่างๆ แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาคือเชื้อรา
- อายุการใช้งานที่น้อยกว่าการทาสี ถึงแม้ว่าวอลเปเปอร์ติดผนังนั้นจะมีคุณภาพที่ดีก็ตาม อีกทั้งในเรื่องของการทำความสะอาดมักจะเช็ดล้างไม่สะอาดเท่ากับการทาสี
- วอลเปเปอร์สามารถหลุดลอกได้ โดยอาจจะเริ่มลอกตามมุมเล็กๆ ตามรอยต่อก่อน ถ้าหากไม่รีบซ่อมแซมก็จะหลุดออกมามากจนดูไม่สวยงามได้
ปัญหาน้ำซึมเข้าไปอยู่หลังวอลเปเปอร์ติดผนัง เนื่องจากมีการรั่วบริเวณต่างๆ พอเวลาผ่านไปวอลเปเปอร์ติดผนังของเราก็จะมีราขึ้น ส่งผลให้มีคราบราที่เป็นจุดๆ ทำความสะอาดได้ยาก
สรุปท้ายบทความ
อยากเปลี่ยนห้องใหม่ แต่จะให้รีโนเวททั้งหมดอาจจะดูมากเกินไป ดังนั้นการลองเปลี่ยนแค่วอลเปเปอร์ก็เป็นตัวเลือกที่ดี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณแล้วว่าอยากให้ห้องออกมาในรูปแบบใด ลองกำหนดงบคร่าวๆ แล้วอ่านบทความนี้อีกสักรอบ รับรองไอเดียบรรเจิดอย่างแน่นอน