ในยุคที่การลงทุนกลายมาเป็นเรื่องใกล้ตัว เหมือนใคร ๆ รอบตัวก็พากันซื้อหุ้นตัวนั้นตัวนี้เต็มไปหมด อารมณ์แบบรู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง แต่พอหันกลับมามองตัวเอง กลับไม่กล้าเสี่ยงแบบเขาซะงั้น กลัวขาดทุน กลัวเข้าเนื้อ วันนี้ Kaidee มีคำตอบมาให้สำหรับ “คนที่ไม่อยากเสี่ยง” แต่ “ขอลอง” คำตอบที่ว่านั้นก็คือ การลงทุนใน “กองทุนรวม” นั่นเอง
กองทุนรวมคืออะไร
กองทุนรวม (Mutual Fund) คือ การที่เรานำเงินไปลงทุนกับ “บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน” หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า บลจ. โดยที่ บลจ.ที่ว่านี้จะเป็นคนรวบรวมเงินจากนักลงทุนรายย่อยต่าง ๆ เพื่อนำเงินก้อนนี้ ไปลงทุนในสินทรัพย์ตามที่นโยบายของกองทุนได้ระบุไว้ บลจ.ทั้งหมดที่จดทะเบียนประกอบในประเทศไทยมีทั้งหมด 26 ที่ (คลิกที่นี่เพื่อดูรายชื่อ บลจ. ทั้งหมด)
ทำไมกองทุนรวมถึงเหมาะสำหรับเด็กจบใหม่
มาถึงหัวข้อที่ว่า ทำไมกองทุนถึงเหมาะกับเด็กจบใหม่มากกว่าหุ้น? คำตอบของ Kaidee คือ เพราะกองทุนนั้นเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนที่เพิ่งเริ่มทำงานนั่นเอง มาดูกันดีกว่า ว่าเพราะอะไร
- ไม่ต้องติดตามราคาผันผวนของตลาดหุ้น
- ไม่ต้องนั่งเครียดศึกษาเรื่องกองทุนหรือตราสารหนี้มากมายเพราะจะมีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพคอยดูแลให้ทำกำไรหรือขาดทุนน้อยที่สุดอยู่เสมอ
- ไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ในการลงทุน
- ความเสี่ยงไม่เท่าการลงทุนในตลาดหุ้น
- กระจายความเสี่ยงในการลงทุนเนื่องจากผู้จัดการกองทุนจะแบ่งสัดส่วนของเงินลงทุนไปในสินทรัพย์ต่างๆ ไม่ใช่การซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง
จะสังเกตได้ว่า 5 ข้อนี้เหมาะกับไลฟ์สไตล์เด็กจบใหม่ที่ต้องตื่นเช้าไปทำงาน เย็นกลับมาก็เหนื่อยแล้ว ไม่มีใจจะไปเช็กตลาดหุ้นหรือราคาขึ้นลงอีก สู้เอาเวลาไปดู Netflix ดีกว่า จริงไหม
นอกจากนี้ หากพิจารณาถึงผลตอบแทนในระยะยาวระหว่าง กองทุนรวม กับ ดอกเบี้ยเงินฝาก จะเห็นได้ว่ากองทุนรวมจะได้ผลตอบแทนมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก เนื่องจากดอกเบี้ยเงินฝากต่อปีจากธนาคารที่เป็นที่รู้จักอย่าง SCB หรือ Kasikorn สูงสุดจะอยู่ที่ 1.50 % ต่อปีเท่านั้น
และเมื่อพิจารณาอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี หากมัวแต่เอาเงินไปฝากไม่ไปลงทุน สุดท้ายในระยะยาว ดอกเบี้ยที่ได้จากเงินฝากก็จะไม่สามารถเอาชนะอัตราเงินเฟ้อได้อยู่ดี
ในทางตรงกันข้าม เรามาดูผลการดำเนินงานและอัตราปันผลของกองทุนรวมที่ Kaidee ขอยกตัวอย่าง คือ กองทุน K-FIXED
กองทุน K-FIXED คือกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวเพื่อที่จะได้ผลตอบแทนในภาวะที่ดอกเบี้ยต่ำ เราจะสังเกตได้ว่า ภายใน 1 ปีนั้น ผลตอบแทนของกองทุนนี้ก็ทะลุ 2 % ซึ่งมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตามการลงทุนกับตราสารหนี้ในระยะยาวนั้น คุณต้องแน่ใจว่าเงินที่นำไปลงทุนนั้นเป็นเงินเย็น และจะไม่นำออกมาใช้เร็ว ๆ นี้ เนื่องจากตราสารหนี้แต่ละตัวนั้นมีอายุสั้นยาวต่างกัน อย่างเช่น K-FIXED นี้อาศัยการลงทุนตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปถึงจะเห็นผลกำไรที่ชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้นอายุของตราสารหนี้จะแปรผันตรงกับผลตอบแทนและความเสี่ยง นั่นหมายความว่า ยิ่งถือตราสารหนี้ไว้นานเท่าไร ผลตอบแทนและความเสี่ยงก็จะสูงมากขึ้นเท่านั้น ดังที่เห็นได้จากกราฟ
จะสังเกตได้ว่าระหว่างทางของการถือตราสารหนี้จะมีการแกว่งขึ้นลงของราคาบ้าง อย่างไรก็ตามเราไม่จำเป็นต้องเช็กราคาตราสารหนี้รายวันแบบหุ้นอยู่แล้วเพราะตราสารหนี้คือการดูผลตอบแทนในระยะยาว และผู้จัดการกองทุนจะพยายามบริหารไม่ให้ขาดทุนอยู่แล้ว (ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจด้วย)
บริการกองทุนรวมของธนาคารคืออะไร
พูดถึงกองทุนรวมกันไปแล้วมาดูบริการของธนาคารกันดีกว่า หากการหากองทุนเหมาะ ๆ สักกองมันยากมากนัก ไหนจะต้องมาดูผลการประกอบการ ดูแนวโน้ม อาจจะยุ่งยากเกินจนทำให้ถอดใจ ทำให้ธนาคารหลายที่สร้างบริการที่ช่วยเราวางแผนว่าควรซื้อกองทุนตัวไหนบ้างขึ้นมา ซึ่งบริการการแบ่งสรรปันส่วนเงินลงทุนไปซื้อสินทรัพย์ต่าง ๆ นี้เรียกว่า “Asset Allocation”
โดยก่อนที่ธนาคารจะทำ Asset Allocation ให้เรานั้น ทางธนาคารจะให้เราทำแบบสอบถามก่อนว่าเรารับความเสี่ยงได้แค่ไหน จากนั้นจึงจะจัดพอร์ตให้เรา
ทั้งนี้สัดส่วนของกองทุนนั้นจะถูก “Rebalance” หรือปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ตลาดตามดุลยพินิจของผู้ดูแลกองทุน อาจจะเป็นทุก 3 เดือน หรือ 6 เดือน ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคาร
วันนี้ Kaidee จะพาไปรู้จักกับ 2 ธนาคารที่เสนอบริการจัดการกองทุนสุดคูลที่เพียงแค่คลิกก็ลงทุนได้ง่าย ๆ ไม่ต้องไปเปิดบัญชีที่ธนาคารให้วุ่นวายอีกต่อไป
SCB ROBO ADVISOR
SCB ROBO ADVISOR คือบริการการจัดการกองทุนรวมที่มีจุดเด่นคือ การนำเอา “AI” หรือเทคโนโลยีสมองกลมาวิเคราะห์ข้อมูล Algorithm ของตลาดตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีหยุดพัก ซึ่งจะได้เปรียบการวิเคราะห์จากคนจริง ๆ อยู่มาก เพราะคนเราไม่สามารถดูตลาดได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น AI สามารถจัดพอร์ตได้มากกว่า 100 แบบ และสามารถพัฒนาไปถึง 300 แบบในอนาคต
การลงทุนกับ SCB ROBO ADVISOR นั้นก็ไม่แพง เพราะเริ่มต้นเพียง 5,000 บาท และลงทุนรายเดือนเพียง 2,000 บาท (คลิกที่นี่เพื่อดูวิธีการเปิดบัญชี)
K Wealth Plus
บริการ Wealth Plus จากธนาคารกสิกรไทยนั้นจะเสนอการลงทุน 2 แบบ คือ “ลงทุนเพื่อความมั่งคั่ง” (General Saving) และ “ลงทุนเพื่อเป้าหมาย” (Major Purchase) ซึ่งบริการนี้มีจุดเด่นคือ การช่วยเรากำหนดเป้าหมายการลงทุน และระยะเวลาการลงทุนที่เหมาะกับผลของระดับความเสี่ยงที่เรารับได้จากการทำแบบทดสอบ
การลงทุนเพื่อความมั่งคั่งนั้นจะเน้นผลตอบแทนที่สามารถเอาชนะดอกเบี้ยเงินฝากเป็นหลัก ในขณะที่การลงทุนเพื่อเป้าหมายจะเน้นแนะนำพอร์ตที่เหมาะสมกับเป้าหมายของเรา เช่น เก็บเงินซื้อคอนโด หรือซื้อรถ เป็นต้น ซึ่งถ้าเป็นการลงทุนประเภทนี้ Wealth Plus จะคำนวณระยะเวลาในการออมให้เราอีกด้วย
ทั้งนี้จะมีการปรับพอร์ตตามภาวะตลาด หรือ “Auto Rebalance” ให้ทุก 6 เดือน
การลงทุนกับ K Wealth Plus นั้นเริ่มต้นที่ 10,000 บาท และลงทุนรายเดือนเพียง 1,000 บาทเท่านั้น
สรุปท้ายบทความ
การลงทุนระยะยาวตั้งแต่อายุยังน้อยเป็นเรื่องสำคัญเพราะนอกจากจะเป็นการบริหารวินัยในการใช้เงินของตัวเองแล้ว เรายังได้เก็บเงินไว้เผื่อกรณีฉุกเฉินอีกด้วย การลงทุนในกองทุนรวมเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในนั้น อย่างไรก็ตามหากจะลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รู้ชัดเพื่อที่จะได้แบ่งสรรปันส่วนเงินลุงทุนได้อย่างถูกต้องนั่นเอง