ทำไมถึงต้องโกหก “ตอนนี้พูดไม่ได้ค่ะ กำลังจะออกไปธุระข้างนอก”“วันนี้ใส่ชุดสวยนะคะคุณพี่”“งานปาร์ตี้สนุกมากครับ ขอบคุณที่เชิญ” คำโกหกหรือสตอเบอรี่ ที่คนเราพูดกันทุกวันนั้นส่วนใหญ่ผู้ฟังมักจับโกหกคนพูดไม่ได้ เพราะใจมักอยากให้เขาพูดดีๆกับเราแบบนั้น คงจะหยาบคายมากถ้าพูดความจริงว่า “ชั้นไม่อยากพูดกะแกอะค่ะ ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน”“คุณพี่แก่เกินกว่าจะใส่ชุดกาคาบพริกเยี่ยงนี้”“อาหารในงานไม่อร่อยเลยครับ” อีกเหตุผลหนึ่งที่การโกหกเล็กๆน้อยๆนั้นสำเร็จจับไม่ได้ เพราะผู้โกหกไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องสำคัญเดิมพันสูง ไม่ต้องถูกสอบสวน ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกจับได้ ถึงต่อมาคนฟังได้รู้ความจริงก็คิดแค่ว่าที่พูดไปนั้นเป็นแค่การประจบสอพลอไม่ได้มีผลเสียอะไร งานวิจัยบอกว่าการโกหกเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายมาก แต่เมื่อไหร่ที่เป็นเรื่องที่มีเดิมพันสูง เช่นอาจต้องถูกลงโทษถ้าถูกจับได้ว่าโกหก เมื่อนั้นพฤติกรรมท่าทางของผู้พูดมักทรยศคำลวงของเขาเอง“อ๋อไม่โกรธเลยซักนิด เราน้อมรับคำวิจารณ์อยู่แล้ว” มารู้จัก Dr Paul Ekman Dr Paul Ekman( เกิดวันที่ 15/2/1934) เขาเป็นนักจิตวิทยาผู้บุกเบิกวิชาการศึกษาเรื่องอารมณ์(emotion)และการแสดงออกทางสีหน้า (facial expression) เขาเป็นหนึ่งในนักจิตวิทยาที่โด่งดังสูงสุด 100 คน ของศตวรรษที่ยี่สิบ จบการศึกษาจาก the University of Chicago and New York University ได้ปริญญาเอกจาก clinical psychology at Adelphi University (1958) ได้รับรางวัลยกย่องจากสถาบันต่างๆมากมาย และเป็น2009 TIME Magazines Top 100 most influential people of 2009 ในหนังซีรีย์ยอดนิยมเรื่อง Lie to me ตัวละครพระเอกคือ คาล ไลท์แมน ผู้ซึ่งเปิดบริษัท The Lightman Group ในฐานะที่ปรึกษาของหน่วยงานรัฐบาลผู้เชี่ยวชาญเรื่องการจับโกหกและมองหาความจริงภายใต้คำโกหกทั้งมวลจากการสังเกตการแสดงออกทางสีหน้าท่าทางนั้น อ้างอิงมาจากตัวของ Dr Pual Ekman นั่นเอง โดยเขาก็มีส่วนร่วมให้คำปรึกษากับละครเรื่องนี้
ขณะนี้ Dr Paul Ekman ดำรงค์ตำแหน่ง Manager ของบริษัท the Paul Ekman Group, LLC (PEG) บริษัทที่ให้บริการฝึกอบรมเกี่ยวกับ emotional skills และกำลังทำวิจัยที่เกี่ยวข้องกับองค์กรความมั่นคงของชาติและการบังคับใช้กฏหมายของสหรัฐอเมริกา (คล้ายๆในหนังนั่นแหละ)