ณ บริษัท Kaidee เวลาเริ่มงาน
มินก็ได้รับโจทย์ในการทำ Content แบบงง ๆ จากหัวหน้า
.
หัวหน้า : “ให้มินและพี่นิว ไปเดินดูเสื้อผ้ามือ 2 ที่เป็นสไตล์ของ You ทั้งสองที่ตลาดนัดรถไฟศรีนคริทร์ แต่มีงบแค่คนละ 600 บาทนะ!!” (พี่เค้าน่าจะเห็นความจัดจ้านในการแต่งตัว)
ซึ่งสิ่งแรกที่มินกับพี่นิวทำก็คือ การมองหน้ากัน และก็ตอบด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า “ได้ครับ!!” (ซึ่งมารู้ทีหลังก็คือพี่นิวและหัวหน้าคุยกันมาก่อนหน้านี้แล้ว เสียใจ T-T)
และในตอนเย็นของวันนั้นมิน พี่นิว และเพื่อน ๆ ทีมงานก็มุ่งหน้ากันไปอย่างทันทีที่ตลาดนัดรถไฟ แต่ว่าสิ่งแรกที่เป็นปัญหาก่อนเลยก็คือ ไม่รู้จะไปยังไงกันดี จะไปด้วยรถไฟฟ้าหรือแท็กซี่ดี ด้วยความตลาดนั้นก็ไกลในระดับนึง แต่สุดท้ายเราก็ตัดสินใจได้ว่า “แท็กซี่” แล้วกัน และพอไปถึงก็ได้รู้ว่าไกลจริง (คิดไม่ออกเลยว่าตอนกลับจะทำยังไงดี??)
เมื่อถึงตลาดรถไฟศรีนครินทร์
ไม่รอช้ามินและพี่นิวก็มุ่งตรงไปโซนที่ขายเสื้อผ้ามือ 2 ที่อยู่บริเวณโกดังที่อยู่ด้านในสุดหากดูจากแผนที่ (โซนตลาดนัด) เมื่อเดินมาถึงโซนนี้คนจะไม่ค่อยเยอะเท่าไรนัก เดินได้สบาย ๆ แถมมีร้านค้ามือ 2 มากมายให้เลือก แต่ด้วยความที่เรามีงบคนละ 600 บาท บวกกับสไตล์การแต่งตัวของเราที่แตกต่างกัน ตัวมินนั้นชอบการแต่งตัวแนวสตรีท ส่วนตัวพี่นิวนั้นแต่งตัวแนววินเทจ ความลำบากของการไปเสื้อผ้าเหล่านี้คือ “ตาดีได้ ตาร้ายเสีย” เหมือนกับการที่เรางมเข็มในมหาสมุทร แต่อันนี้เป็นงมเสื้อผ้าในราวแทน
แผนที่เดินทางไปตลาดนัดรถไฟศรีนครินทร์
เสื้อผ้าแนวสตรีท
สไตล์การแต่งตัวสุดแนว ที่ตอนนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก คงหนีไม่พ้น “แนวสตรีท” (ไม่ใช่การแต่งตัวเป็นถนนนะ) ไม่ว่าจะเป็นดารา นักร้อง นักแสดง ก็มีให้เห็นอยู่ว่าเค้าแต่งตัวกัน ซึ่งจริง ๆ แนวนี้มันไม่มีอะไรมากอย่างที่คิดเลย มันก็คือการ Mix & Match อะไรก็ได้ที่มีอยู่ในตู้ ไม่จำเป็นต้องแพง (ไม่ใช่อะไร ที่แต่งแบบนี้เพราะไม่ค่อยมีเงิน //ร่ำร้อง ๆ)
เสื้อผ้าแนววินเทจ
การแต่งตัวที่นำเอาแฟชั่นยุคเก่า ๆ กลับมาใส่ใหม่อีกครั้ง ซึ่งต้องมีอายุมากกว่า 20 ปีขึ้นไป หรือถ้าหากเทียบกับเวลาในปัจจุบัน ก็คือนำเสื้อยุค 80 หรือ 90 มาใส่ให้ดูเท่และมีสไตล์ อย่างเช่นเสื้อวง กางเกงสแล็ค กางเกงยีนส์ เป็นต้น
วิธีการเลือกเสื้อผ้าของเราสอง
เราสองคนนั้นมีวิธีการเลือกเสื้อที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แค่เห็นก็รับรู้ได้ในทันทีเพราะว่าแค่ลำดับการเลือกก็แตกต่างกันแต่ก็มีบางส่วนที่คล้าย ๆ กันอยู่ รวมไปถึงสีสันของเสื้อผ้าก็ด้วย วันนี้เดี๋ยวมินและพี่นิวจะมาเล่าถึงวิธีการเลือกว่าจะเริ่มยังไงดี
How to เลือกเสื้อผ้าของมิน
วิธีเลือกซื้อเสื้อผ้าการแต่งตัวของมิน ส่วนใหญ่จะเริ่มเลือกจากเสื้อก่อน เพราะตัวมินเอง (คิดว่า) เสื้อนั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการที่จะมองหาอะไรก็ตามมา Mix&Match ต่อกับส่วนอื่น ๆ ได้ง่ายกว่า อย่าไปกลัวที่จะแต่งตัว
เลือกเสื้อยังไงดี?
นั่นสิครับ!! เลือกยังไงดี?? ทางที่ง่ายที่สุดเมื่อไปเดินตลาดเสื้อผ้ามือ 2 แบบนี้คือ มองหาอะไรก็ตามที่เป็นสไตล์ที่ชอบก่อน เพื่อที่จะได้กรองอะไรก็ตามที่ไม่ชอบออกไป ซึ่งเสื้อมินจะเลือกดูอยู่ไม่กี่อย่าง คือ
1.สีเสื้อ
เริ่มกันด้วยสีเสื้อก่อนเลย ต้องมองก่อนว่าตัวเองนั้นเหมาะกับสีโทนไหน ร้อนหรือว่าเย็น เทคนิคส่วนตัวของมินเองที่จะทำให้รู้ว่าตัวเองเหมาะกับโทนสีไหนคือ ให้ลองหาเครื่องประดับ 2 ชิ้น ชิ้นหนึ่งสีเงิน ส่วนอีกชิ้นเป็นสีทอง เอามาลองใส่และดูว่าใส่สีไหนแล้วเข้ามากกว่ากัน
- สีเงิน : ถ้าหากใส่สีเงินแล้วเข้ามากกว่าสีทอง แสดงว่าคุณเหมาะกับการใส่เสื้อสีโทนเย็น เช่น สีฟ้า เขียว ม่วง เป็นต้น
- สีทอง : ถ้าหากใส่สีทองแล้วเข้ามากกว่าสีเงิน แสดงว่าคุณเหมาะกับการใส่เสื้อสีโทนร้อน เช่น สีแดง ส้ม เหลือง เป็นต้น
- เข้าทั้งสองสี : เป็นอะไรที่โชคดีมาก เพราะว่าคุณจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีอะไรก็ได้
2. ลายเสื้อ
มาต่อกันที่ลายเลยดีกว่า อันนี้น่าจะเป็นเรื่องที่บอกกันได้ยากที่สุด เพราะแต่ละคนมีความชอบไม่เหมือนกัน (ง่าย ๆ คือจริตของแต่ละคน) เลือกกันตามความชอบได้เลย
3. ขนาด
มินมักจะชอบเลือกเสื้อผ้าที่ตัวใหญ่กว่าตัวเองอยู่เสมอให้มันดูเป็นทรง Over Size เพื่อที่จะใส่ได้สบาย ๆ ไม่อึดอัดเวลาสวมใส่ไปไหนมาไหน ถ้าอยากให้ใส่ได้อย่างสบายแนะนำเลย บวกเพิ่มอีก 1-2 ไซส์จากเดิมที่ใส่อยู่
มาต่อกันเลยที่กางเกง!!
เมื่อได้เสื้อแล้ว กางเกงจะเป็นลำดับถัดไปเสมอที่มินจะเลือก ซึ่งเลือกได้ไม่ยากเลย มี 3 ตัวเลือก คือหากางเกงที่เป็นสีดำ สีที่ตรงกันข้ามกับเสื้อ หรือสีกางเกงที่มีสีอยู่ในเสื้อ เพื่อให้มีลูกเล่นในการแต่งตัวที่มากขึ้น แต่อย่างสิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้เลยคือ ทรงของกางเกง ต้องเลือกให้เหมาะกับเสื้อที่เลือกมาเช่นกัน
สุดท้ายคือรองเท้า
รองเท้าที่มินเลือก ก็จะเป็นอะไรที่ง่าย ๆ เรียบ ๆ (ในใจคืออยากได้ Nike Air Jordan 1 แต่มันเกินงบไปไกลเกิน) ท้ายที่สุดเลยไปจบกับรองเท้าสีขาว ไม่ก็สีดำ เพื่อให้เข้าได้กับทุกสีนั่นเอง
How to เลือกของพี่นิว
มาต่อกันที่การเลือกเสื้อผ้าในแบบสไตล์ของพี่นิวกันเลย สิ่งหนึ่งเลยที่เหมือนกับมิน คือพี่นิวนั้นเริ่มเลือกดูเสื้อผ้ามือ 2 จากเสื้อก่อน แล้วจึงค่อย ๆ ไปเลือกส่วนอื่นต่อ เพื่อให้ง่ายต่อการ Match และเป็นสไตล์ของพี่นิวมากที่สุด
เสื้อแบบไหนกันที่ต้องการ?
ด้วยความที่พี่นิวนั้นชอบใส่เสื้อให้มีหลาย ๆ เลเยอร์ในการแต่งตัวหนึ่งครั้ง ทำให้ส่วนในการเลือกเสื้อของพี่นิวนั้นมีทั้งแจ็คเก็ตและเสื้อข้างในที่ต้องเลือกเพื่อให้สามารถใส่ด้วยกันได้อย่างลงตัวที่สุด
1. เสื้อแจ็คเก็ต
มาดูที่เสื้อแจ็คเก็ตก่อนเลย พี่นิวจะเลือกเป็นเสื้อผ้าร่มทรง Sport ที่ความรู้สึกวินเทจนิด ๆ สตรีทหน่อย ๆ ซึ่งสีส่วนมากจะเป็นสีดำ ที่ตัดกับสีที่สดแสบตา (แสบตาจริง รอดูได้เลย > <) แต่ขนาดของเสื้อต้องพอดีตัว ไม่เล็กไป ไม่ใหญ่ไป
2. เสื้อยืดข้างใน
ในส่วนนี้พี่นิวจะเลือกให้ไม่เยอะเท่าไหร่นัก ลายเรียบ ๆ ที่มีสีพื้นเป็น ขาว ดำ หรือไม่ก็เทา ที่เข้าได้กับทุกสี แต่ขนาดที่เลือกนั้นจะเป็น Over Size ที่คอกว้าง ๆ เพื่อให้ใส่ได้สบายในสภาพอากาศของประเทศไทย
กางเกงแบบไหนกันที่มัดใจพี่นิว
กางเกงที่โดนใจพี่นิวจะเป็นกางเกงทรงสแล็คที่ขากว้าง ๆ กางเกงทรงลุงสไตล์ญี่ปุ่น เต่อเล็กน้อย (หรือว่าจริง ๆ แล้วพี่เค้าเป็นลุงแล้ว?? หยอก ๆ) เพื่อให่ได้โชว์ถุงเท้าที่สามารถเล่นสีไปได้อีกระดับ ซึ่งจะเลืกโทนสีเข้มอย่าง สีดำ กรม และเขียวเข้ม
มาจบกันที่รองเท้า
เลือกจากทรงของรองเท้าล้วน ๆ ไม่ว่าจะทรงที่เป็นแนว Daddy Shoes ที่กำลังได้รับความนิยมในตอนนี้ (ทรงรองเท้าที่มีขนาดใหญ่กว่ารองเท้าทั่วไป) หรือไม่ก็เป็นรองเท้ากีฬาไปเลย ที่ไม่ได้ดูใหม่มากนัก ยังคงเอาไว้ถึงความ Vintage
สัมภาษณ์พ่อค้า
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของทั้งตัวมินและพี่นิวเองนั้น ก็เลยผุดไอเดียที่อยากจะลองถามพ่อค้าตามร้านต่าง ๆ ซึ่งก็สัมภาษณ์มาได้เยอะมากกก!! (แค่ 2 คนเท่านั้น) นั่นแหละครับ มันก็ยังดีกว่าไม่ได้มาเลยสักคนเดียว มาเริ่มกันเลยที่พี่คนแรกกันเลยดีกว่า
พี่เต้ แห่งร้าน Thaigunyarn
ราคาเสื้อวินเทจมันคือ ความพึงพอใจของทั้งสองฝ่าย
พี่เต้
ด้วยความที่เห็นจากการแต่งตัวของพี่เต้ จึงเข้าไปถามถึงสไตล์การแต่งตัวที่พี่เต้ชอบ ซึ่งสไตล์ที่พี่เต้แต่งบ่อยมีอยู่ด้วยกันถึง 3 แนวด้วยกัน (โคตรคูล!!) แต่ทั้งหมดนั้นเป็นแนววินเทจทั้งหมด แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ แนววินเทจของ 3 ประเทศ นั่นก็คือ
Japan Vintage
ความวินเทจของประเทศญี่ปุ่นนั้นไม่ยาก ดูจากรูปของพี่เต้ได้เลย นี่แหละคือญี่ปุ่น เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นที่ชาติไหนก็ไม่เหมือน คือการใส่เสื้อเชิ๊ตกับกางเกงสแล็คหรือยีนส์ที่เป็นทรงกระบอก ไม่ก็เป็นทรงบอลลูน อาจจะใส่หมวกหรือใส่เครื่องประดับแบบมินิมอลที่ไม่ทำให้ลุคนี้ดูเยอะจนเกินไป
USA Vintage
ความวินเทจของอเมริกานั้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการแต่งตัวแบบ Workwear ถ้าเรียกให้ง่าย ๆ เลยก็คือ ชุดช่าง (ช่างแอร์ในตำนานรึเปล่า?? ฮ่า ๆ) ซึ่งสไตล์นี้มีความเท่ แถมได้ฟังก์ชันการใช้งานของเสื้อผ้าอีกด้วย
England Vintage
ด้วยความที่เรารู้ ๆ กันอยู่แล้วว่าประเทศอังกฤษเป็นประเทศที่มีความเนียบและหรูหราสูง ความวินเทจของประเทศนี้ก็จะดูมีความเป็น “คุณหญิง คุณชาย” สูง ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นเสื้อเชิ๊ตและกางเกงสแล็ค
ร้านของพี่เต้
ถึงตาที่จะให้พี่เต้เล่าถึงร้านตัวเองกันบ้างแล้ว ร้าน Thaigunyarn เสื้อผ้าส่วนใหญ่ที่ขายจะเป็นแนววินเทจเกือบทั้งหมด และขายของตามแนวการแต่งตัวที่พี่เต้ชอบ ซึ่งในร้านส่วนใหญ่นั้นจะเป็น สินค้าแบบ Dead Stock เกือบทั้งหมด ทำให้มีความแปลกใหม่ ไม่เหมือนใคร แต่คงไว้ซึ่งความเท่และวินเทจอย่างเต็มเปี่ยม ร้านจะตั้งอยู่ที่โกดัง 8 อยู่ติดกับร้าน TATTOO
Dead Stock คือ เสื้อผ้าเก่าที่เก็บเอาไว้เป็นเวลานาน และยังไม่เคยนำออกมาใส่
เสื้อที่พี่เต้ภูมิใจนำเสนอ
ซึ่งเสื้อ Michael Owen ตัวนี้มีความพิเศษที่ไม่เหมือนใคร เพราะเสื้อตัวนี้ไม่ใช้เสื้อที่ทาง Official นั้นทำออกมาวางขาย แต่เป็น Bootleg ที่เหล่าแฟนคลับนั้นทำออกมากันเอง ขายกันเอง และใส่กันเอง แถมไม่มีลิขสิทธิ์อีกด้วย แต่เป็นเสื้อที่อยู่ในช่วงยุค 80 หรือ 90 ทำให้มีความแรร์มาก ๆ บวกกับราคาที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว
ราคาเสื้อ Michael Owen อยู่ที่ : 8,500 บาท
พี่ม้ง แห่งร้าน Siam OLD SCHOOL
ทุกตัวคือ Limited
พี่ม้ง
มาถึงคนสุดท้ายกันแล้วด้วยความที่มินเห็นว่าพี่เค้ามีความชิล ๆ และดูเป็นกันเอง รวมไปถึงการแต่งตัวที่ดูเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ซึ่งแน่นอนคำถามแรกที่ถามเลยก็คือสไตล์การแต่งตัว พี่ม้งก็ได้ตอบมาว่า “แต่งตัวมันเปลี่ยนไปแล้วแต่วัน แต่ต้องเป็นของเก่าและวินเทจ” (น้ำเสียงพี่เขาเท่จัด ๆ) เพราะสำหรับพี่ม้ง ทุกตัวมีความหมาย หาได้ยาก และมันมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น มันประเมินค่าได้ยากจริง ๆ
ร้านของพี่ม้ง
ในร้าน Siam OLD SCHOOL นั้นมีของเยอะมากมายทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ รวมไปถึงของกุ๊กกิ๊กน่ารัก ๆ ซึ่งพี่ม้งนั้นไม่ได้จำกัดเลยว่าเค้าจะขายของแนวแนวไหน เพราะพี่เค้าขายทุกแนว ตามความชอบของตัวพี่ม้งเอง ชอบอะไรก็หยิบเอาอันนั้นแหละมาขาย ทำให้ร้านนี้เป็นอีกหนึ่งร้านที่เข้ามาแล้วซื้อจบได้ในร้านเดียว ไม่ต้องไปร้านอื่นต่อ
เสื้อราคาเดือดที่สุดในร้าน
เสื้อวงสุดเท่จากวง PENTERA ลายที่ทำออกมาให้กับเพลงสุดฮิตอย่าง Cowboy from hell อีกทั้งยังเป็นเสื้อแบบ Over Print คือการที่สกรีนลายเสื้อให้เลยมาจนถึงที่แขนเสื้อ เพราะส่วนใหญ่ของการสกรีนเสื้อมักจะสกรีนแค่บริเวณหน้าเสื้อเท่านั้น และด้วยความที่เสื้อตัวนี้เป็นแบบ NOSWT (New old stock with tag) ถ้าให้เข้าใจง่าย ๆ คือ เสื้อวินเทจที่ยังไม่เคยใส่และยังมีป้ายห้อยอยู่ ทำให้ตัวนี้มีความพิเศษกว่าตัวอื่น ๆ
ราคาเสื้อ PENTERA Over Print ราคา : 35,000 บาท
FINAL LOOK!!
และนี่คือเสื้อที่ได้มาจากตลาดรถไฟศรีนครินทร์ในงบเพียง 600 บาท ของพวกเรา!! ซึ่งเราทั้งคู่ก็ให้โจทย์กันและกันว่าจะสลับสไตล์กัน มินใส่วินเทจ พี่นิวใสสตรีท จะเป็นยังไง ไปดูกัน!!
สไตล์ปกติที่เราทั้งคู่แต่งกัน
ปกติการแต่งตัวของเราทั้งคู่ก็ไม่ได้ราคาแพงเท่าไรอยู่แล้ว เดี๋ยวเราทั้งคู่จะมายกตัวอย่างคร่าว ๆ ของสไตล์ทั้งคู่ว่าจะเป็นยังไง และราคาเท่าไหร่บ้าง ไปดูกันเลย!!
Min’s Style New’s Style
หากใครที่ลำบากในการที่จะเดินทางมาเลือกดูสินค้ามือ 2 ที่ตลาดนัดรถไฟศรีนครินทร์แล้วล่ะก็ ที่ Kaidee มีสินค้าสองหลากหลายแบบ หลากหลายสไตล์ที่คูล จนไม่ต้องออกจากบ้านไปซื้อเสื้อผ้าที่ไหนเลย